Make Appointment

เพชฌฆาตเงียบ! ไวรัสตับอักเสบบี

13 Sep 2016 เปิดอ่าน 794

ปัจจุบันคาดคะเนกันว่า มีคนไทยประมาณ 5 ล้านคน ที่ติดเชื้อโรคไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะเชื้อจะซ่อนตัวอยู่ในคนและก่อให้เกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้ ดูแล้วน่าตกใจไม่น้อยทีเดียว

จากสถิติ 100 คน พบว่ามีผู้เป็นพาหะโรคไวรัสตับอักเสบบีอยู่ 5-7 คน ซึ่งผู้ที่เป็นพาหะนั้น ไม่ได้เป็นโรค ไม่มีอาการเจ็บป่วย เพียงแต่มีเชื้ออยู่ในร่างกาย โดยผู้นั้นสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ และเกือบร้อยละ 30 จะมีโอกาสพัฒนาเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ โดยเฉพาะมะเร็งตับจะมีความเสี่ยงสูง กว่าคนปกติ 100-200 เท่า ซึ่งผู้ที่จะเป็นโรคตับร้ายแรงจะต้องมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกายนานกว่า 20-30 ปีขึ้นไป ถ้าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีขณะอายุน้อย ร้อยละ 90 จะมีการพัฒนาเป็นการติดเชื้อเรื้อรัง แต่ถ้า ติดเชื้อเมื่อโตขึ้นแล้วหรือในวัยผู้ใหญ่ โอกาสที่กลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังจะมีเพียงร้อยละ 10
       
       ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีจะมีอาการแสดงแตกต่างกัน ถ้ามาด้วยอาการตับอักเสบเฉียบพลัน จะรู้สึกอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน จุกแน่นชายโครงขวา ปัสสาวะเข้ม ตาเหลือง ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ร้อยละ 90-95 จะหายเป็นปกติด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบี พบผู้ป่วยเพียงร้อยละ 5-10 เท่านั้น ที่ไม่สามารถกำจัดไวรัสออกจากร่างกายได้ ส่วนผู้ป่วยอีกกลุ่มที่มีอาการตับอักเสบเรื้อรัง มักไม่มีอาการใดๆ จะรู้ว่าเป็นโรคนี้จากการตรวจเลือด แล้วพบการทำงานของตับผิดปกติ หรือถ้าผู้ป่วยมีอาการแสดง อาจมีแค่อ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่ายเท่านั้น กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการอักเสบเรื้อรังเป็นเวลานาน จะมีการทำลายเซลล์ตับมากๆ จนตับเสื่อมและกลายเป็นตับแข็งในที่สุด โดยมีอาการผอม ผิวแห้ง ผมบางเหมือนขาดสารอาหาร ท้องโตจากการมีน้ำในท้อง ตาตัวเหลือง และในระยะยาวอาจกลายเป็นมะเร็งตับได้

ปัจจุบันยังไม่มียาใดที่ใช้รักษาเพื่อกำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีให้หมดจากร่างกายได้ ยาที่มีรักษาเป็นเพียงแค่ช่วยบรรเทาอาการเสื่อมของตับเท่านั้น โดยอาจเป็นยาฉีดหรือยากิน สำหรับผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นอันตรายต่อตับ และควรได้รับการเจาะเลือดเพื่อตรวจการทำงานของตับเป็นระยะๆ เพื่อหาความผิดปกติในเลือด รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น เพราะยาเกือบทุกชนิดจะถูกทำลายที่ตับ และทุกครั้งที่พบแพทย์ต้องแจ้งให้ทราบว่าเป็นตับอักเสบ เพื่อกำหนดการใช้ยาในขนาดที่เหมาะสม
       
       สำหรับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี เพศชายที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป เพศหญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีภาวะตับแข็งแล้ว หรือผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งตับควรรับการตรวจสุขภาพ การตรวจเลือดรวมถึงการตรวจอัลตราซาวนด์ในช่องท้องอย่างน้อยทุก 6 เดือน เพื่อตรวจหาโรคมะเร็งตับในระยะเริ่มต้น เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งตับสูงกว่าผู้ป่วยกลุ่มอื่นๆ

 

  อ.นพ.วัชรศักดิ์ โชติยะปุตตะ

* ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000020692