นัดพบแพทย์

โรคต้อหินป้องกันได้

27 Sep 2016 เปิดอ่าน 2325

“จักษุแพทย์”เตือนหากไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจังอาจทำให้ตาบอดได้ แนะหมั่นตรวจตาเป็นประจำทุกปี เผยพบผู้ป่วยโรคต้อหิน 50-90 % ไม่รู้ตัวว่าเป็นต้อหิน เพราะไม่เคยตรวจตา คาดปี 2020 ประเทศไทยอาจมีผู้ป่วยพุ่งเกือบ 7 แสนคน

          ผศ.พญ.วิษนี ตันติเสวี หัวหน้าหน่วยต้อหิน ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึง โรคต้อหินว่า เป็นโรคที่เกิดจากภาวะเปลี่ยนแปลงของขั้วประสาทตา เกี่ยวข้องกับความดันตา หรือการสูญเสียลานสายตา เป็นโรคเรื้อรัง อาการแย่ลงเรื่อยๆ และถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจังอาจทำให้ตาบอดได้ ถือเป็นภัยเงียบที่ทำให้เกิดภาวะสูญเสียการมองเห็นชนิดถาวร สาเหตุเกิดจาก 2 ปัจจัยคือ 1.จากประวัติของคนในครอบครัวเป็นต้อหินอยู่ก่อนแล้ว หรือยีนพันธุกรรมเหนี่ยวนำ รวมทั้งอายุที่เพิ่มขึ้น กลุ่มคนที่เป็นหลอดเลือดตีบ เบาหวาน ไมเกรน หยุดหายใจช่วงกลางคืน มีโอกาสที่จะเป็นต้อหินสูงกว่าคนทั่วไป 2.จากสาเหตุอื่นๆ อาทิ โรคทางตาบางชนิด คนไข้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ จากสถิติพบว่า ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคต้อหินจำนวน 60 ล้านคนในปี พ.ศ. 2553 และคาดว่าจะมีผู้ป่วยโรคต้อหินจำนวน 70 ล้านคนในปี พ.ศ. 2563 เท่ากับว่าจะมีผู้ป่วยโรคต้อหินเพิ่มขึ้นปีละ 1 ล้านคน 10 % ของผู้ป่วยโรคต้อหิน มีอาการรุนแรงถึงขั้นทำให้สูญเสียการมองเห็น จากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยโรคต้อหิน 50-90 % ไม่รู้ตัวว่าเป็นต้อหิน เพราะไม่เคยตรวจตา

          สำหรับประเทศไทย จากสถิติอุบัติเหตุการของการเกิดโรคพบว่า คนไทยเป็นโรคต้อหิน 36 % ของประชากรทั่วประเทศ ส่วนใหญ่จะเกิดจากคนในครอบครัวเป็นต้อหินกันมาก่อน และแนวโน้มของการเกิดโรคนี้ในกลุ่มคนไทยจะเพิ่มสูงขึ้น กล่าวว่าคือในปี ค.ศ. 2010 มีคนไทยเป็นต้อหินประมาณ 6 แสนคน คาดว่าในปี ค.ศ. 2020 จะมีคนไทยเป็นโรคนี้เพิ่มขึ้นเป็น 7 แสนคน

          ผศ.พญ.วิษนี กล่าวว่า ต้อหินไม่เหมือนต้อกระจกที่สามารถผ่าตัดเปลี่ยนประสาทตาได้ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา ผู้ป่วยอาจสูญเสียการมองเห็นชนิดถาวรได้ แต่หากตรวจพบได้ไว ก็สามารถรักษาเพื่อหยุดยั้งการสูญเสียขั้วประสาทตาหรือลานสายตาได้ ในกลุ่มผู้ที่เป็นต้อหินนั้น การลดความดันตาเป็นวิธีที่ได้รับการพิสูจน์ และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่า สามารถควบคุมโรคต้อหินได้ สำหรับวิธีการรักษามีทั้งการใช้ยา ซึ่งมีทั้งยาหยอด ยารับประทาน นอกจากนี้ยังมีการรักษาโดยการใช้แสงเลเซอร์ และการผ่าตัดในกรณีที่การใช้ยาและใช้แสงเลเซอร์ไม่ได้ผล การพบจักษุแพทย์ตรวจตาเป็นประจำทุกปี เพื่อตรวจหาโรคตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดปัญหาการสูญเสียการมองเห็นจากโรคต้อหินได้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ซึ่งได้แก่ ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ,สายตายาวมากๆ,มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคต้อหิน,มีโรคประจำตัว อาทิ ไทรอยด์, เบาหวาน ,ใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ ทั้งชนิดหยอด ยาฉีด และรับประทาน ติดต่อกันเป็นเวลานาน ,เคยมีอุบัติเหตุทางตา หรือเคยผ่าตัดตามาก่อน

 * ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.thaihealth.or.th/Content/23829-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89.html