นัดพบแพทย์

การดูแลหลังรักษามะเร็งตับ

02 Dec 2016 เปิดอ่าน 1940

มะเร็งตับในที่นี้ขอแนะนำเฉพาะมะเร็งของเนื้อตับเอง ไม่ได้กระจายมาจากที่อื่น หรือเป็นมะเร็งท่อน้ำดีที่จะมาด้วยเรื่องท่อน้ำดีอุดตัน ซึ่งมักเกิดจากพยาธิใบไม้ในตับ มะเร็งตับนี้มักจะเกิดกับผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังมานานๆ หรือเป็นตับแข็งแล้ว การรักษามะเร็งตับมีหลายวิธีขึ้นกับอายุ ความแข็งแรงของร่างกาย ระยะและขนาดของก้อน โรคส่วนตัวของผู้ป่วย แพทย์จะตัดสินใจร่วมกับท่านและญาติว่าจะเลือกวิธีใด เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ไม่ต้องการได้  วิธีรักษา ได้แก่  การผ่าตัด การสวนเส้นเลือดแดงเข้าไปฉีดยาเคมีโดยตรงที่ก้อนมะเร็ง การจี้ด้วยแอลกอฮอล์ คลื่นความถี่ ความร้อน หรือความเย็น  สำหรับมะเร็งตับการฉายแสงหรือการใช้ยาเคมีบำบัดรักษาก็มี แต่ได้ผลเฉพาะราย

 

เมื่อทำการรักษาแล้วปัจจัยที่จะต้องพิจารณาและควรปฏิบัติ คือ

1. โรคตับอักเสบเรื้อรังหรือโรคตับแข็ง

   ถ้าเดิมไม่เคยทราบมาก่อนว่าท่านมีความเสี่ยงของโรคมะเร็งตับ แล้วมาตรวจพบด้วยอาการของมะเร็งที่มีโรคแทรก ได้แก่ ปวดท้อง ก้อนมะเร็งแตก มีการลุกลามไปอุดเส้นเลือดดำของตับ หรือตรวจพบโดยบังเอิญจากอาการแทรกซ้อนของตับแข็ง  ซึ่งอาการเหล่านี้ ได้แก่ อาเจียนเป็นเลือดสด ท้องมาน บวม ดีซ่าน ตับวายไม่ทำงาน จะบอกถึงระยะของโรคทั้งโรคมะเร็งตับและโรคตับแข็งว่าเป็นในระยะมากแล้ว มักจะมีระยะเวลาที่เหลือจะเป็นเดือนไม่ค่อยข้ามปี

   ความเสี่ยงของมะเร็งตับส่วนใหญ่ คือ มีโรคตับแข็งหรือโรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรังมาก่อน ทั้งจากไวรัสบี  ไวรัสซี หรือจากสาเหตุอื่นๆ โดยอาจจะไม่มีอาการ ซึ่งมักตรวจพบจากการบริจาคโลหิตหรือตรวจเลือดประจำปี หรือมีญาติเป็นมะเร็งตับมาก่อน และมีแพทย์ดูแลรักษาอยู่ก่อนแล้ว ก็จะตรวจเลือด และทำอัลตราซาวด์ติดตามหาการเกิดของมะเร็งเป็นระยะๆ ผู้ที่อยู่ในกลุ่มนี้จะตรวจพบได้เร็วในระยะเริ่มแรกก่อนที่จะมีอาการทำให้รักษาได้ผลดี เป็นการติดตามรอคอยซึ่งมักจะพบตามมาถ้าสาเหตุของโรคตับไม่ได้ควบคุมหรือรักษาจนหาย 
 

 

   ดังนั้น หลังจากการรักษามะเร็งตับแล้ว โรคของเนื้อตับที่เป็นความเสี่ยงเชื้อเชิญมะเร็ง จึงจำเป็นจะต้องควบคุมและรักษาต่อด้วย ถ้าเป็นไวรัสบีสามารถรักษาควบคู่ไปด้วยกันได้ ถ้าเป็นไวรัสซีแพทย์จะพิจารณาหลังการรักษาแล้วอีกครั้ง

 

2. อาหาร 

   ถ้ามีตับแข็งร่วมด้วย มักจะมีภาวะขาดสารอาหารต่างๆ ร่วมด้วย  ซึ่งการขาดสารอาหารนี้จะยิ่งทำให้ภาวะตับแข็งของผู้ป่วยแย่ลง ถ้าตับแข็งโดยที่ตับยังทำงานได้ไม่บกพร่องหน้าที่ การรับประทานอาหารก็มักจะไม่ต่างจากคนปกติ แต่ถ้ามีอาการของตับแข็งแล้ว  เช่น  มีท้องมานก็จะมีภาวะขาดอาหารร่วมด้วย ดังนั้น อาหารโปรตีนจะใช้ประมาณ 1.5 ถึง 2  กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 

   ผู้ป่วยอาจจะไม่สามารถบริโภคอาหารที่มีโปรตีนได้สูงถึงขนาดที่ต้องการได้ เนื่องจากการเบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อยลง อาหารที่มีเกลือน้อยรสชาติไม่ถูกปาก และในระยะที่เป็นมากผู้ป่วยตับแข็งอาจจะมีภาวะของเสียขึ้นสมองจนตับกรองของเสียไม่ได้ เมื่อรับประทานอาหารโปรตีนสูงเข้าไปจะทำให้เกิดอาการทางสมองมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทนรับประทานอาหารโปรตีนได้เพียงพอ โดยทั่วไปแล้วมักจะแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีโปรตีนประมาณ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน และเน้นโปรตีนจากพืช เช่น นมถั่วเหลือง เต้าหู้ ไข่ขาวเสริม โปรตีนจากสัตว์ควรใช้เนื้อปลาเท่านั้น  

 


   ถ้ามีโปรตีนในเลือดต่ำ และไม่สามารถที่จะรับประทานอาหารโปรตีนที่แนะนำได้เพียงพอ จะต้องใช้อาหารโปรตีนเสริมพิเศษสำหรับผู้ป่วยโรคตับเพิ่ม ซึ่งจะทำให้โปรตีนในเลือดเพิ่มขึ้นได้ไกล้เคียงระดับที่ร่างกายต้องการ โดยที่ไม่เกิดอาการทางสมอง ข้อเสียของอาหารเสริมนี้ก็คือ รสชาติที่ไม่อร่อยและมีราคาค่อนข้างแพง 


   ตับ มีหน้าที่สร้างสารอาหาร การเก็บสำรอง และการปล่อยออกมาใช้ ภาวะที่ตับแข็งมากแล้ว การไม่ได้รับประทานอาหารเพียง 1 มื้อ อาจจะเท่ากับคนปกติที่ไม่ได้รับประทานอาหารนานถึง 3 วัน  ดังนั้น มักจะแนะนำผู้ป่วยที่มีภาวะตับแข็ง ให้รับประทานอาหารที่มีจำนวนมื้อมากกว่าคนปกติ โดยทั่วไปแล้วจะแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหาร 4 มื้อ คือ มื้อเช้า มื้อเที่ยง มื้อเย็น และมื้อค่ำ และแนะนำให้รับประทานอาหารว่างในช่วงสายและช่วงบ่าย ซึ่งก็มักจะเป็นการดี เนื่องจากผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งที่มีน้ำในช่องท้องมักมีภาวะท้องอืดทำให้รับประทานอาหารครั้งละมากๆ ไม่ได้ จึงเป็นการดีที่จะรับประทานอาหารจำนวนต่อมื้อให้น้อยลง แต่บ่อยขึ้นเป็นวันละ 4-7 มื้อต่อวัน 

   
   ตับแข็ง จะทำให้การเก็บสำรองของอาหาร ซึ่งอยู่ในตับเป็นแหล่งใหญ่บกพร่อง เปลี่ยนรูปอาหารออกมาใช้งานก็ไม่ดี แต่อัตราการใช้พลังงานในผู้ป่วยตับแข็งก็จะมากกว่าคนปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีโรคแทรกซ้อน เช่น อาเจียนเป็นเลือดสด ท้องมานน้ำ ก็จะยิ่งต้องใช้พลังงานมากขึ้นเป็นสองถึงสามเท่า การอดอาหารของผู้ป่วยตับแข็งจะมีผลต่อร่างกายมาก ฉะนั้น ถ้าต้องงดอาหารเช้าเพื่อตรวจส่องกล้องหรือการตรวจเลือด ควรกินอาหารมื้อเย็นที่มีประโยชน์ให้เต็มที่ และบอกเจ้าหน้าที่ เป็นกรณีพิเศษเสมอ 

 

3. เกลือแร่ วิตามิน 

   การมีตับแข็ง มักทำให้ขาดพวกวิตามินต่างๆ แต่ควรรับประทานวิตามินเสริมตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะการรับประทานวิตามินบางชนิดที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามินเอ ถ้ารับประทานมากเกินไปอาจมีผลเสียต่อตับได้ สำหรับผู้ป่วยตับแข็งที่มีภาวะบวมหรือมีน้ำในช่องท้อง ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเค็ม ปลาเค็ม อาหารที่มีผงชูรส อาหารในซองทุกชนิด

 

4. อาหารที่แสลงต่อโรคตับ 

   ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงมากจนเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดที่อาจปนเปื้อนเชื้อราที่สร้างสารอะฟลาท๊อกซิน (Aflatoxin) ซึ่งก่อให้เกิดมะเร็งมากยิ่งขึ้น อาหารพวกนี้ ได้แก่ ราในถั่วลิสงป่น พริกป่น
 

   ควรระวังการติดเชื้อจากระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากเลือดที่ดูดซึมจากลำไส้จะผ่านการกรองเชื้อโรคที่ตับได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอาหารคาวที่ดิบๆ สุกๆ หอยทุกชนิดเพราะจะนำทั้งเชื้อโรคและเชื้อตับอักเสบเอ ทำให้เกิดติดเชื้อในกระแสโลหิตหรือทำให้ตับอักเสบซ้ำซ้อนอันตรายถึงชีวิตได้

   การดื่มน้ำหวาน ไม่มีส่วนช่วยบำรุงตับเลย แต่จะทำให้เกิดเบาหวาน เพราะตับที่แข็งจะไม่สามารถเก็บน้ำตาลที่เกินไปสะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

5. แอลกอฮอล์ ยา 

   ควรหลีกเลี่ยงการดื่มสุรา หรือของมึนเมาที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์สามารถทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ และภาวะตับแข็งทรุดได้ จึงควรหลีกเลี่ยงสารต่างๆ ที่มีแอลกอฮอล์อยู่  นอกจากนี้ผู้ป่วยตับแข็งควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่ไม่จำเป็น  ไม่ได้มาตรฐาน เพราะยาหลายชนิดจะถูกทำลายหรือผ่านที่ตับ และยังมียาหลายชนิดมากที่ทำให้ตับอักเสบได้ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาและสารเคมีที่ไม่จำเป็น 

  ยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตตามอล ยังเป็นยาที่มีความปลอดภัยในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็ง  อย่างไรก็ตาม พบว่า ผู้ป่วยที่มีตับอักเสบเรื้อรังหรือมีตับแข็งจะไวต่อการเกิดตับอักเสบจากยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตตามอลได้ง่ายกว่าคนปกติ  จึงแนะนำให้รับประทานเพียงครั้งละ 1 เม็ดขนาด 500 มิลลิกรัม และรับประทานซ้ำได้ทุก 4 - 6 ชั่วโมง วันละไม่เกิน 5 เม็ด ไม่ควรติดต่อกันเกิน 3 วัน การเป็นพิษเกิดง่ายเพิ่มมากขึ้นตามสภาพตับที่แข็ง มีการอดอาหาร หรือกินยาหลายชนิด       รวมทั้งดื่มสุราแอลกอฮอล์ร่วมด้วย

  สำหรับการรักษาแพทย์ทางเลือก  เมื่อผ่านการผ่าตัดหรือวิธีการรักษาอื่น ๆ ทางแพทย์แผนปัจจุบันมาแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมีความสบายใจ และมั่นใจมากขึ้น เนื่องจากผลการรักษามักทำให้อาการต่างดีขึ้น เช่น อาการปวด หอบเหนื่อย แม้จะมีความสบายใจมากขึ้น แต่ก็ยังมีความกังวลใจเกี่ยวกับการกลับเป็นใหม่ หรือการกระจายของโรค ดังนั้น จึงมักจะแสวงหาสิ่งอื่นๆ มาเสริมสร้างกำลังใจ เช่น การรักษาทางเลือกสมุนไพร ตลอดจนยาพระ ยาหม้อ ซึ่งหากแพทย์ไม่อนุญาต ก็จะเป็นการสร้างความขัดแย้งต่อจิตใจ ความจริงแล้วท่านควรทราบว่า โรคที่รักษาขณะนี้อยู่ในระยะสงบ การกินยาอื่นๆ อาจไม่มีความจำเป็น แต่หากท่านมีความประสงค์ที่จะรักษาโดยทางอื่นๆ ถ้าไม่มีข้อแทรกซ้อนก็อาจจะทำได้ แต่ข้อสำคัญคือ ให้มาตรวจตามนัดหรือถ้ามีอาการผิดปกติใดๆ ให้รีบกลับมาพบแพทย์ 

นพ.วิญญู จันทรสุนทรกุล

 

* ขอบคุณบทความจาก : http://www.siamca.com/knowledge-id327.html