ปวดหัว...ไม่รู้เป็นอะไร ตื่นเช้าขึ้นมาก็รู้สึกตุ๊บๆ บริเวณขมับ สายๆ บ่ายๆ นั่งทำงานก็ปวดหนึบๆ ขึ้นมาอีก (แล้ว) ตัวร้อนก็ไม่ อาการมีไข้ก็ไม่ใช่ จะว่าเครียดวันนี้ก็อารมณ์ดี๊ดีอยู่นี่นา นอกจากบางวันจะปวดหลายเวลาแล้ว อาการปวดหัวยังแวะเวียนมาอยู่บ่อยๆ หากใครเคยเจอะเจอกับอาการปวดหัวอันน่ารำคาญกาย-ใจ หรือจะเรียกให้สุภาพว่า ปวดศีรษะ วันนี้ "พญ.พิมพ์วิมล จันทร์แสง" อายุรกรรมระบบประสาท ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลพญาไท 2 จะมาชวนไขปัญหา (ชวน) ปวดหัวนี้
เมื่อกล่าวถึงเรื่องของการปวดศีรษะนับเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับมนุษย์เราได้บ่อยที่สุด และในขณะเดียวกันก็สร้างความทุกข์ทรมานให้ผู้ที่เป็นได้มากด้วยเช่นกัน สำหรับสาเหตุของการปวดศีรษะที่เกี่ยวกับสมองและระบบประสาทสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
"การปวดศีรษะที่มีสาเหตุจากในสมอง" เช่น เนื้องอกในสมอง เลือดออกในสมอง ความดันสมองเพิ่มผิดปกติ ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น
โดยสามารถตรวจได้จากการตรวจร่างกายทางสมอง การซักประวัติผู้ป่วยรายละเอียดของการปวดศีรษะ ลักษณะการปวด ตำแหน่ง เวลาที่เกิดอาการ ระยะเวลาการปวด ความรุนแรง เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก และเมื่อพบข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนจะตรวจเพิ่มเติมด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก การตรวจคอมพิวเตอร์สมองหรือการเจาะหลังเพื่อหาสาเหตุของโรค
"การปวดศีรษะแบบไม่พบสาเหตุชัดเจน" โดยโรคที่พบบ่อย ได้แก่ ไมเกรนการปวดหัวจากกล้ามเนื้อเกร็งตัว
ไมเกรน คือ โรคของระบบการรับความรู้สึกของเส้นเลือดไวผิดปกติ จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดตุ๊บๆ ปวดศีรษะด้านใดด้านหนึ่ง ไมเกรนมีอาการเฉพาะตัว คือปวดตุ๊บๆ ปวดรุนแรง ปวดติดต่อกัน 4-72 ชั่วโมง ปวดข้างเดียวหรือย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่ง เป็นๆ หายๆ ซึ่งไมเกรนจะมีความสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้น เช่น รอบเดือน อาหารบางชนิด
การปวดหัวจากกล้ามเนื้อเกร็งตัว จะมีอาการปวดเป็นประจำ ปวดตื้อๆ หนักๆ ที่ขมับ หน้าผาก ทั่วศีรษะ ปวดช่วงที่อากาศร้อน บ่ายๆ เย็นๆ หลังจากทำงานมานานๆสาเหตุของโรคเกิดจากการใช้สายตามากนั่งทำงานนานๆ เครียด การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
ส่วนแนวทางการรักษา เมื่อตรวจวินิจฉัยและทราบสาเหตุของการปวดศีรษะแล้ว แพทย์จะพิจารณารักษาตามอาการ และสำหรับการรักษาการปวดศีรษะแบบไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การรักษาทางยาและการรักษาโดยไม่ใช้ยา มีดังนี้
การทำกายภาพบำบัด การนวด การยืดกล้ามเนื้อ กรณีผู้ที่มีอาการปวดศีรษะร่วมกับปวดคอ เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณต้นคอมีการคลายตัวก็จะส่งผลให้เลือดที่ไปเลี้ยงสมองไหลเวียนได้ดีขึ้น ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องที่ให้ความร้อน เช่น การประคบแผ่นร้อน การนวดด้วยคลื่นอัลตราซาวด์การนวดด้วยมือตามตำแหน่งที่มีการเกร็งของกล้ามเนื้อ และวิธีการนวดกดจุดซึ่งเป็นแพทย์ทางเลือก โดยอาศัยหลักการนวดซึ่งเป็นทฤษฎีทางกายภาพบำบัดผสมผสานกับหลักการนวดกดจุดแบบแพทย์แผนไทยมาประยุกต์ใช้เพื่อการบรรเทาอาการปวด
การทำจิตบำบัดและการโปรแกรมจิตใต้สำนึกใหม่ จะรักษากับผู้ที่มีอาการปวดศีรษะที่แพทย์สมองและระบบประสาทให้ข้อสรุปว่า อาการปวดไม่ได้เกิดจากปัญหาทางกายภาพด้านสมอง แต่อาจมีสาเหตุจากปัญหาความเครียดด้านจิตใจ โดยจะแยกการรักษาออกเป็น 2 ส่วน คือ การรักษาระดับจิตรู้สำนึกด้วยวิธีจิตบำบัดกับผู้มีปัญหาความเครียดที่สามารถระบุได้ชัดเจน เช่น มีปัญหาครอบครัว และการรักษาระดับจิตใต้สำนึก กรณีของผู้ที่มีอารมณ์ความรู้สึกที่ฝังใจสะสมอยู่ และส่งผลให้เกิดความเครียดในปัจจุบันด้วยวิธีโปรแกรมจิตใต้สำนึกใหม่ เพื่อเป็นการเคลียร์ล้างความรู้สึกในด้านลบ และโปรแกรมจิตใต้สำนึกใหม่ด้วยความคิดในด้านบวก สำหรับการรักษาทั้งสองวิธีในปัจจุบันได้นำดนตรีบำบัดเข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาด้วยการฟังเพลง ซึ่งสะดวกกับผู้ป่วยและยังสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องใช้เครื่องดนตรีอีกด้วย
ท้ายสุด คือ การดูแลตนเอง สามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น การหาช่องทางบริหารและจัดการกับความเครียดด้วยตนเอง ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ปล่อยวาง นอนหลับให้สนิทหลีกเลี่ยงปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้ปวดศีรษะ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
"การดูแลตนเอง สามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เช่น การหาช่องทางบริหารและจัดการกับความเครียดด้วยตนเองทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ปล่อยวาง นอนหลับให้สนิท หลีกเลี่ยงปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้ปวดศีรษะ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ"
ขอบคุณบทความจาก : http://www.thaihealth.or.th/node/26777