นัดพบแพทย์

4 ศัลยกรรมแปลกทำแล้วได้อะไร

15 Dec 2016 เปิดอ่าน 3307

การศัลยกรรม นับเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงไปแล้วในปัจจุบัน โดยวัตถุประสงค์ของการศัลยกรรมจะมีตั้งแต่แก้ไขจุดบกพร่องของใบหน้าหรือส่วนอื่นๆ ของร่างกายไปจนถึงการศัลยกรรเพื่อความเยาว์วัย โดยจุดที่นิยมศัลยกรรมจะมีตั้งแต่ ตา จมูก หน้าอก ซึ่งถือว่าเป็นจุดศัลยกรรมพื้นฐานที่สร้างความมั่นใจให้กับผู้หญิง แต่มีจุดอื่นที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน หากใครมองแบบไม่ลึกซึ้งก็จะนึกสงสัยว่า ทำไมถึงต้องทำศัลยกรรมจมูกนั้นๆ การศัลยกรรมดังกล่าวจะแก้ไขจุดบกพร่องได้อย่างไร ลองไปหาคำตอบกับ 4 จุดศัลยกรรมดังต่อไปนี้กัน

 1.ศัลยกรรมปาก

 ศัลยกรรมปากมันแปลกตรงไหน ก็ไม่ได้แปลกมากมายอะไร แต่ทำไมคนถึงนิยมทำและทำไมหมอถึงปฏิเสธคนไข้ไปแล้วหลายราย? การศัลยกรรมปากเป็นผ่าตัดเล็กสามารถผ่าตัดโดยการใช้ยาชาได้ ทำเพื่อปรับแต่งรูปร่างให้ได้ดั่งใจ ต้องการที่อยู่ในกรอบของความเป็นจริง ในแง่ของการทำงานของปากนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงไป โดยการศัลยกรรมปากนั้นจะขึ้นอยู่กับ

 ต้นทุนปากเดิม

 รูปปากที่คนไข้ต้องการ

หาก 2 สิ่งนี้ไม่ได้ขัดแย้งกันมากกับความเป็นจริง แพทย์ก็มีวิธีปรับเปลี่ยนให้ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่คนไข้ต้องการได้ แต่หากขัดแย้งกัน เช่น ต้นทุนปากเดิมบางอยู่แล้ว แต่อยากได้บางกว่าเติมอีก ผลคือจะทำให้ลักษณะปากเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงอาจเห็นฟันเยอะขึ้น แน่นอนว่าหากคนไข้ไม่สามารถเข้าใจหรือยอมรับความจริงได้ แพทย์จะปฏิเสธการทำศัลยกรรมแน่นอน

 สาวอยากปากบางสวยน่าจุ๊บต้องผ่านขั้นตอนนี้

แพทย์จะทำการผ่าตัดบางส่วนของริมฝีปากออกเพื่อให้ปากบางและเนื้อส่วนเกิน บริเวณริมฝีปากออกไปตามแนวยาวของริมฝีปากทั้งด้านบนและด้านล่าง จากนั้นเย็บด้วยไหมละลายตามแนวปากของเราที่แพทย์วาดไว้ โดยจะเย็บไหมเป็นรอยหยัก รอยไหมจะถูกซ่อนไปด้านในจะเห็นเป็นรอยไหมเด่นชัด แต่เมื่อบาดแผลหายดีแล้วรอยนั้นจะหายไปเองจนมองไม่เห็นรอยเย็บนั้น และจะทำการตัดไหมหลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ ไหมที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นไหมละลาย

 ดูแลอย่างไรหลังศัลยกรรมปาก

  ใน 2 สัปดาห์แรกที่ยังไม่ทำการตัดไหม ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ

  รักษาความสะอาดอยู่เสมอ

  ระวังการใช้ปากในกิจวัตรประจำวันกว่าปกติ เช่น ไม่ควรอ้าปากกว้างเพื่อป้องกันแผลฉีกขาด

  แผลอาจเกิดการตึงเล็กน้อย โดยจะยึดได้อีกทีหลังประมาณ 3 เดือน

 • ทายาตามแพทย์สั่ง

 2.ศัลยกรรมหูกาง

 หูกาง ความจริงก็น่ารักดี แต่สำหรับสาวๆ หูที่มีลักษณะกางมากเกินไป ก็ทำให้ไม่มั่นใจในการทำผมทรงต่างๆ โดยหูกาง เป็นลักษณะที่เจอทางพันธุกรรม มักเกิดบริเวณของใบหูหรือกลางหู เกิดจากกระดูกอ่อนมีมุมที่ผิดปกติไป โดยคนเอเชียพบได้ 30% ในขณะที่ทางยุโรปอาจเจอคนหูกางได้ 5-10% เด็กส่วนใหญ่ของชาวยุโรปที่มีหูกางมักเจอกับปัญหาทางสังคม เช่น ถูกล้อเลียน จนมีผลไปถึงผู้ปกครอง

การศัลยกรรมจึงมุ่งเน้นไปเพื่อความสวยงาม พบว่าคนไทยส่วนใหญ่มักมาศัลยกรรมหูกางช้ากว่าชาวยุโรป ซึ่งผู้ปกครองมักพามาศัลยกรรมช่วงเข้าเรียน 6-7 ปี เป็ฯช่วงเวลาของรูปหูจะไม่เปลี่ยนรูปร่าง สามารถผ่าตัดได้ ในขณะที่คนไทย การแก้ไขปัญหาหูกางมักเกิดจากคนไข้เอง ไม่ได้เกิดจากพ่อแม่สนับสนุนหรือพามาเหมือนชาวยุโรป

การศัลยกรรมหูกางมี 2 แบบ คือ

  ตัดแต่งกระดูกอ่อน โดยตัดกระดูกอ่อนออกไป ซึ่งเทคนิคนี้มีการคงตัวมากกว่า แต่การนำเนื้อเยื่อออกเยอะ อาจมีใบหูที่ผิดรูปไปได้

  ตัดแต่งกระดูกอ่อนบางส่วนและใช้ไหมเย็บ เพื่อไม่ให้เปลี่ยนรูปร่าง การผ่าตัดด้วยเทคนิคนี้จะง่ายกว่าวิธีแรก แต่มีปัญหาเรื่องการดีดกลับมากกว่า

 ศัลยกรรมแล้วหูจะไม่กลับมากางอีกจริงหรือ

กว่าแผลจะแข็งแรงอยู่ในช่วง 3-6 เดือน จึงใส่ที่ครอบหูคล้าย Ear Muff ป้องกันไม่ให้มือปัดไปโดนพังผืดที่เกิดขึ้นฉีกขาดไป ควรใส่ก่อนตัดไหมตลอดเวลา แต่หลังตัดไหมแล้ว อาจใส่เฉพาะก่อนเข้านอนก็ได้

3.ศัลยกรรมสะดือจุ่น

สะดือจุ่นอดใส่เอวลอยโชว์เอวสวยๆ จะทำอย่างไรดี การศัลยกรรมตกแต่งนี้ก็มีทั้งเพื่อความสวยงามและเป็นหน้าที่ของสะดือที่ผิดปกติไป โดยปกติเมื่อเราอยู่ในท้องแม่ ลำไส้เราจะออกมาอยู่ข้างนอกตัว พอถึงระยะหนึ่งอวัยวะภายในเกิดการเจริญเติบโตจะกลับเข้าไปอยู่ในช่องท้องเหมือนเดิม โดยสะดือจุ่นเกิดได้ 2 แบบ

สะดือบางส่วนที่ควรสลายไปที่เกิดหลังจาลำไส้หรืออวัยวะที่เข้าไปในช่องท้องยังเหลืออยู่ วิธีนี้สามารถผ่าตัดเล็ก และตกแต่งรูปร่างให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

 ทางขอลำไส้ที่ไม่ได้ปิด 100% เรียกว่า “ไส้เลื่อนที่สะดือ” หากไม่รักษาอาจเกิดการถูกรัดจนเกิดลำไส้อุดตันได้ การผ่าตัดวิธีนี้เป็นผ่าตัดใหญ่ มีวิธีการซับซ้อนกว่า โดยเข้าไปผ่าตัดแก้ไขปิดทางเดิน อาจใช้พังผืดของตัวเองหรือใช้พังผืดเทียม

 ผลข้างเคียง อาจเกิดการติดเชื้อของแผล เนื่องจากแผลอยู่ในจุดอับเพราะต้องใส่เสื้อตลอดเวลา การดูแลแผลที่ดี โดยเฉพาะการผ่าตัดไส้เลื่อนที่สะดือ แพทย์จำเป็นต้องใช้วัสดุตาข่ายมาช่วยเพิ่มความแข็งแรง แต่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้เช่นกัน

4.ศัลยกรรมจุดซ้อนเร้นเลเบีย

 จุดซ้อนเร้นเลเบียคืออะไร? สาวๆ เราเข้าใจกันในนาม “แคมเล็ก” นั่นเอง โดยเป็นการผ่าตัดกรด เย็บ ให้ตรงกับความต้องการ แต่การศัลยกรรมประเภทนี้ทำไปเพื่ออะไร??

 ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า ลักษณะของแคมด้านในของผู้หญิงก็มีลักษระไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ เชื้อชาติและบุคลิกลักษระจำเพาะของแต่ละคน โดยมีจุดประสงค์เพื่อ

ความสวยงามเป็นความชอบส่วนบุคคลลดผลกระทบจากการเสียดสีของเลเบีย ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่สบาย เนื่องจากส่วนนี้เป็นส่วนที่อ่อน และรับความรู้สึกได้ไว เมื่อมีการเสียดสีนานๆ อาจเกิดแผลถลอก การเปลี่ยนไปของสี เป็นต้น

 การดูแลหลังผ่าตัด

เนื่องจากบ้านเราเป็นบ้านเมืองร้อน การผ่าตัดเลเบียอาจเกิดการอับชื้นได้ง่าย เนื่องจากเป็นจุดอับ ทำให้แผลแห้งช้า ไหมที่ทำการเย็บอาจหลุดได้ แผลจึงปิดไม่สนิทดี

อาจมีอาการเจ็บ ปวด น้ำเหลืองไม่แห้งสนิท หากต้องการผ่าตัดเลเบียควรมีเวลาพักฟื้นมากพอสมควร ไม่ควรใส่ชั้นในให้อับชื้นตลอดทั้งวัน ถ้าดูแลจนผ่านช่วงแผลสมานกันดีจะหายไว แต่ถ้าดูแลช่วงต้นไม่ดีก็จะก่อปัญหาพอสมควร โดยแผลอาจหายได้ใน 2 อาทิตย์

อ่านสักนิดก่อนคิดศัลยกรรม

ก่อนผ่าตัด

ไม่ควรตัดสินอย่างฉาบฉวย เนื่องจากการผ่าตัดบางอย่างหลังการผ่าตัด อาจกลับไปแก้ไขให้ใกล้เคียงกับจุดเดิมได้ แต่ก็มีการแก้ไขบางอย่างที่ไม่สามารถทำกลับไปให้เหมือนเดิมได้เช่นกัน

หลังผ่าตัด

 1.ก่อนตัดไหม หากโดนน้ำควรชับให้แห้ง

 2.หลังตัดไหม แผลหายก็สามารถโดนน้ำได้ตามปกติ

 3.อาจเกิดการบวมหรือลักษณะการบวมอาจไม่เท่ากัน

แผลหาย หมายถึง ผิวหนังติดกันดี แต่ไม่ได้หมายถึงการหายในทางการแพทย์ปกติแล้วจะหายได้ใน 2 สัปดาห์ โดย “การหาย” ในทางการแพทย์ หมายถึง ไม่มีเซลล์อักเสบอยู่ในตำแหน่งที่ผ่าตัด

 

นายแพทย์รุ่งกิตต์ ตัญจพัฒน์กุล แพทย์ที่ปรึกษา โรงพยาบาลผิวหนังอโศก

* ขอบคุณบทความจาก : http://women.haijai.com/2123/