ในปัจจุบันเราจะเห็นคนฮิตกินอาหารคลีนกันยกใหญ่ แบบนี้คนไทยก็น่าจะห่างไกลกับโรคเบาหวานเป็นแน่ แต่นั่นเป็นเพียงแค่คนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ถ้าใครทำได้ แต่ตามสถิติแล้วคนไทยทั่วประเทศยังเป็นโรคเบาหวานกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีผู้ป่วยเบาหวานทั่วประเทศราว 6-7% ของประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 3-4 ล้านคน
ทำไมต้องมาสนใจ โรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นโรคที่ถ้าหากตรวจพบได้เร็ว เราสามารถทำการรักษา ควบคุมให้น้ำตาลลงมาอยู่เกณฑ์ปกติ หรืออยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยได้ บางครั้งในคนที่เป็นน้อยๆ อาจเพียงแค่ปรับพฤติกรรมก็สามารถควบคุมน้ำตาลได้โดยไม่ต้องใช้ยา นอกจากนี้ถ้าเราตรวจพบเบาหวานได้เร็ว เราก็สามารถตรวจคัดกรองภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้เร็วยิ่งขึ้นด้วย
ผู้ที่ควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน คือ ผู้ที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป และผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น ได้แก่ คนที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน คนอ้วน ผู้หญิงที่เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่ถ้าคลอดบุตรแล้วเด็กมีน้ำหนักเกณฑ์ 4 กก. เพราะแม่จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวาน
สาเหตุที่ควรทำการตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน เพราะว่าโรคเบาหวานถ้าน้ำตาลขึ้นน้อยๆ มักไม่มีอาการ แต่จะสามารถทราบได้ด้วยการตรวจเลือด ซึ่งถ้าปล่อยให้เป็นไปหลายๆ ปี ระดับน้ำตาลสูงขึ้นมากกว่าเดิมจะมีอาการหิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ และถ้าปล่อยให้เป็นนานขึ้นไปอีกโดยไม่ได้รับการรักษาก็จะทำให้มีภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานมีอะไรบ้าง
โดยธรรมชาติของโรคเบาหวาน น้ำตาลในร่างกายที่สูงขึ้นส่วนใหญ่จะส่งผลกระทบต่อหลอดเลือดทั่วร่างกาย ซึ่งแบ่งเป็นหลอดเลือดเล็กและหลอดเลือดใหญ่ เป้าหมายของเบาหวาน คือทำให้หลอดเลือดตีบ ตัน และแตกง่าย
หลอดเลือดเล็กที่เบาหวานมักจะไปคุกคาม ได้แก่ ตา ไต และเส้นประสาท ถ้าเราปล่อยให้น้ำตาลในร่างกายสูงเป็นเวลานานๆ โดยไม่ทำการรักษา หากเบาหวานขึ้นตาก็จะทำให้ตาบอด ถ้าเบาหวานไปที่ไต ก็จะทำให้ไตเสื่อม การทำหน้าที่กรองของเสียของไตลดลง ทำให้มีภาวะไตวายได้ ถ้าไปที่เส้นประสาท จะทำให้เกิดเท้าชา เจ็บ แปล๊บได้
หลอดเลือดใหญ่ที่เบาหวานชอบไป เช่น หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ โดยมักจะมาคู่กับโรคที่เกิดร่วมกัน คือถ้าใครที่มีปัญหาเรื่องความดันสูง ไขมันสูง แล้วเป็นโรคเบาหวานด้วย เบาหวานจะส่งเสริมทำให้ เส้นเลือดสมองตีบทำให้เป็น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นโรคหัวใจขาดเลือดได้ เพราะฉะนั้นถ้าหากใครที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่ง จึงจำเป็นต้องทำการตรวจคัดกรองภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานปีละ 1 ครั้ง ร่วมด้วย
น้ำตาลแค่ไหนถึงจะปลอดภัย
เพราะแต่ละคนมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน จึงไม่สามารถระบุตัวเลขแน่นอนได้ แต่พอจะคร่าวๆ ได้ว่าถ้าในคนปกติระดับน้ำตาลในเลือดควรจะอยู่ที่ 70-100 ถ้าใครที่มีค่าน้ำตาล 100-126 ยังไม่ถือว่าเป็นโรคหวาน แต่เราจะเรียกว่าเบาหวานแฝง ซึ่งก็จะแนะนำให้ปรับการรับประทานอาหาร ร่วมกับการออกกำลังกาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้แล้ว ถ้า 126 ขึ้นไป ถือว่าเป็นโรคเบาหวาน แต่ค่าน้ำตาลยังไม่ได้สูงมากนัก อาจจะให้โอกาสปรับพฤติกรรมดูก่อนซักประมาณ 2 เดือน แล้วตรวจใหม่ ถ้าไม่ดีขึ้นก็อาจจะต้องให้ทานยา แต่ถ้าใครที่มีค่าน้ำตาลตั้งต้นสูงมากต้องพิจารณาให้กินยาไปพร้อมกับการปรับพฤติกรรมเลย
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน
มีอยู่ 2 ชนิด คือ ยารับประทาน และยาฉีด
- ยารับประทาน ในปัจจุบันมีการพัฒนายาชนิดใหม่ๆ กันอยู่เรื่อยๆ ล่าสุดมียากลุ่มใหม่ โดยตัวยามีฤทธิ์ขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ ซึ่งยากลุ่มเดิม จะเป็นกลุ่มยาที่กินเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายและตับอ่อนสร้างอินซูลินเยอะขึ้น และกระตุ้นให้อินซูลินออกฤทธิ์ดีขึ้น สาเหตุที่ต้องมียาหลายตัว เพราะโรคเบาหวานพอเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ยาบางตัวอาจออกฤทธิ์ได้ไม่ดีเหมือนเดิม หรือการดื้อยา จึงต้องมียาหลายตัวเพื่อช่วยเสริมกันทำให้ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น อย่างปีสองปีแรกอาจจะต้องใช้ยา 2-3 ตัว ปีต่อๆ มาอาจต้องปรับยาเป็น 3-4 ตัว แต่พอถึงจุดๆ หนึ่งยารับประทานเอาไม่อยู่ก็ต้องใช้ยาฉีด
- ยาฉีด คือการฉีดอินซูลินให้กับร่างกายโดยตรง จึงทำให้ออกฤทธิ์ได้ดีกว่ายากิน ใครที่รับประทานยามาหลายๆ ปีแล้ว น้ำตาลเริ่มไม่ค่อยลง ก็จำเป็นจะต้องให้อินซูลินโดยการฉีด แต่การฉีดไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ในการรักษาจึงมักเริ่มจากการรับประทานยาก่อน เพราะสะดวกกว่าและไม่เจ็บตัว
ถามว่าทำไมคนที่เป็นเบาหวานแล้วต้องทานยาไปเป็นเวลานานๆ หรือบางคนก็รู้สึกว่าทำไมทานยาแล้วไม่หาย ข้อแรกคือตับอ่อนเริ่มหมดแรง เพราะตับอ่อนทำหน้าที่ในการผลิตอินซูลิน เช่น ปีแรกเรากินยาแค่นี้อินซูลินก็ออกดี น้ำตาลก็ดีตาม พอหลายๆ ปีเข้า กินยาเท่าเดิม แต่อินซูลินออกได้ไม่ดีเท่าเดิม เพราะตับอ่อนมันเริ่มล้า ซึ่งความล้าของตับอ่อนของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน บางคนกินยาแค่ตัวเดียวก็สามารถควบคุมน้ำตาลอยู่ได้นานเป็น 10 ปี แต่บางคนแค่ 5 ปี ต้องกินยากันไป 3-4 ตัวแล้วก็มี ข้อสอง คือ การดูแลตัวเองไม่ดี ไม่คุมอาหาร ไม่ออกกำลัง ปล่อยให้น้ำหนักตัวเยอะเกินไป ยิ่งน้ำหนักตัวมากเท่าไหร่ยิ่งดื้อต่ออินซูลินมากเท่านั้น เพราะตับอ่อนต้องทำงานหนัก ยาก็ต้องขยับขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการดูแลตัวเองให้ดี นอกจากจะช่วยให้น้ำตาลดีขึ้นแล้ว ยังช่วยชะลอความล้าให้กับตับอ่อนของตัวเองด้วย
นวัตกรรมผ่าตัดลดความอ้วน
สำหรับคนที่อ้วนมากๆ ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เกิน 35-40 ร่วมกับมีโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันสูง ใช้ยามาแล้วระยะหนึ่ง ปรับพฤติกรรมการทานอาหารมาแล้วระยะหนึ่งแล้วก็ยังไม่สำเร็จ ลดความอ้วนไม่ได้ น้ำตาลไม่ลง ก็อาจต้องหันมาใช้วิธีการผ่าตัดเย็บกระเพาะให้เล็กลง หรือการตัดต่อลำไส้บางส่วนเพื่อทำให้ร่างกายดูดซึมได้น้อยลง โดยการผ่าตัดส่องกล้อง ซึ่งทำให้น้ำหนักลดลงได้ถึง 20-30 กิโลกรัม ทำให้โรคเบาหวานดีขึ้น ไขมันดีขึ้น บางคนเบาหวานหายขาดเลยก็มี การผ่าตัดกระเพาะหรือลำไส้ก็เพื่อลดปริมาณพลังงานที่เข้าไปในร่างกายลง ถ้าเราควบคุมการรับประทานอาหารได้ ลดแคลลอรี่ที่จะเข้าสู่ร่างกายได้ ยิ่งเสริมด้วยการออกกำลังกาย ในที่สุดก็จะผอมลง เบาหวานก็หายได้ ไม่ต้องมาตัดกระเพาะเลย
อาจารย์จึงอยากฝากไว้ว่า “การรับประทานอาหาร มีความสำคัญกับโรคเบาหวาน ใครที่เป็นโรคเบาหวานต้องควบคุมแคลลอรี่ต่อวัน ลดคาร์โบไฮเดรด น้ำตาล ไขมัน ในแต่ละวันลง ซึ่งสัดส่วนของคาร์โบไฮเดรดก็ต้องดูว่ามาจากอะไร แป้ง ข้าว น้ำตาล หรือน้ำที่มีส่วนผสมของน้ำตาล เช่น น้ำผลไม้ เพราะฉะนั้นคนเป็นเบาหวานดื่มเปล่าเป็นดีที่สุด ขนมจุบจิบไม่ควรรับประทาน แนะนำให้กินเป็นมื้อใหญ่ให้อิ่ม มื้อเล็กต้องเป็นมื้อที่ไม่มีคาร์โบไฮเดรด หรือถ้าเป็นผลไม้ก็ต้องเป็นผลไม้ที่ มีน้ำตาลน้อย เช่น ฝรั่ง แอปเปิ้ลเขียว นอกจากชนิดแล้วก็ต้องดูที่ปริมาณด้วย ไม่ใช่ว่าไม่กินแป้ง แต่กินแอปเปิ้ลทีละ 5 ลูกแบบนี้น้ำตาลก็เอาไม่อยู่เหมือนกันนะครับ ไม่ได้ถึงกับห้ามแต่ต้องควบคุมตัวเองให้ดี เพราะเราจะรู้ตัวเองดีที่สุด
การออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิคควบคู่ไปกับ Fitness เพราะแอโรบิค เน้นการทำงานของปอดและหัวใจ ควรทำให้ได้อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น การวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ ส่วน Fitness เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ซึ่งควรทำอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละประมาณครึ่งชั่วโมง
ที่สำคัญโรคเบาหวาน ถ้ารู้ก่อน เราสามารถปรับตัวได้โดยไม่ต้องทานยา คนที่เป็นใหม่ๆ น้อยๆ ยิ่งต้องปรับตัวให้ดี ให้เร็ว เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ไปถึงภาวะแทรกซ้อนแล้วพวกนี้จะเป็นถาวร เช่น เบาหวานขึ้นตา ถ้าตาบอดแล้ว ต่อให้น้ำตาลกลับมาดี แต่ตาก็ไม่กลับมาแล้ว แต่ถ้าเรารู้เร็ว ตรวจคัดกรองภาวะแทรกซ้อนได้เร็ว ถ้าเจอว่าเบาหวานขึ้นตา ก็สามารถยิงเลเซอร์รักษาได้ และอย่าปล่อยให้น้ำหนักตัวเยอะเกินไปหรืออ้วน เพราะยิ่งอ้วนมากเท่าไหร่ อินซูลินต้องต่อสู้กับไขมันมากขึ้นเท่านั้น เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้เราห่างไกลจากเบาหวานได้แล้วล่ะครับ”
โดย : นพ. จิรทีปต์ ขวัญแก้ว
ขอบคุณบทความจาก : https://www.samitivejhospitals.com/th/%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99/