สภาพเศรษฐกิจอย่างปัจจุบัน ส่งผลให้ทั้งคุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ครอบครัว ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน จึงทำให้ช่วงกลางวันไม่ได้อยู่กับลูก เอ...แล้วจะส่งผลต่อพัฒนาการของลูกหรือเปล่านะ ?
ทำงานนอกบ้าน...ข้อดี vs ข้อเสีย
ข้อดี ของการที่คุณพ่อคุณแม่ออกไปทำงานนอกบ้านทั้งคู่ คืออยู่บ้านตลอด 24 ชม. อาจทำให้คุณแม่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าไม่มีผลงานที่ชัดเจน จนเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อตนเอง
แต่พอได้ออกไปทำงานข้างนอกก็รู้สึกว่าตัวเองมีผลงาน สามารถทำงานได้ ทำให้มีสุขภาพจิตดีเวลากลับเข้าบ้านก็จะสามารถมาเล่นกับลูก หรือสามารถกระตุ้นพัฒนาการลูกได้ดีกว่าอยู่บ้านแต่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำประโยชน์อย่างเต็มที่
นอกจากนั้นคุณพ่อคุณแม่บางคนอาจรู้สึกว่าอยู่บ้านแล้วเครียดถ้าได้ทำงานแล้วจะรู้สึกผ่านคลาย ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตเช่นกัน ซึ่งจะเป็นผลลัพธ์ต่อเนื่องค่ะ เพราะถ้าพ่อแม่อารมณ์ดีสุขภาพจิตดีรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า กลับมาก็จะรู้สึกว่าเล่นกับลูกได้อย่างมีควาสุขมากขึ้น ลูกเองก็จะอารมณ์ดี และมีความสุข
ข้อเสีย มี 2 ข้อใหญ่ ๆคือ
เครียด เมื่อคุณพ่อคุณแม่เครียดมาก ๆ ก็อาจมาลงกับลูกได้ เพราะรู้สึกว่าทำงานมาตลอดทั้งวันก็เหนื่อยมากแล้ว เมื่อกลับถึงบ้านจึงอยากพักผ่อน ไม่อยากเล่นกับลูก
ขาดโอกาสเข้าใจลูก เพราะเวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ทำงาน ส่วนลูกก็ให้คุณปู่คุณย่าหรือคุณตาคุณยายช่วยเลี้ยง จึงวางใจว่าลูกจะได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี และไม่ได้เข้าไปใกล้ชิดลูกอย่างเต็มที่
เมื่อคุณพ่อคุณแม่กลับจากทำงานก็พักผ่อน ในขณะที่ลูกวัย 1-3 ปี อยู่ในช่วงวัยของการพัฒนาอารมณ์ อาจมีการต่อต้าน มีการทดลองว่าถ้าเขาทำแบบนี้แล้วพ่อแม่จะทำอย่างไร เป็นวัยที่กำลังเรียนรู้การปรับอารมณ์ การวางตัว รวมทั้งเรื่องความสามารถของตัวเอง
ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่ไม่เข้าใจพฤติกรรมลูก ก็อาจเกิดปฏิกิริยาได้หลายแบบ เช่น ถ้าเป็นคุณพ่อคุณแม่กลุ่มที่มีบุคลิกแบบสมยอมก็ตามใจลูก ลูกอยากได้อะไรก็หาให้หมดเลย แต่หากเป็นพ่อแม่กลุ่มที่เป็นแบบเด็ดขาดก็จะพยายามเอาชนะลูก และสิ่งที่จะตามมาล้วนแต่เกิดผลเสียกับลูกทั้งนั้นค่ะ
จะเกิดอะไรกับลูก ? หากทำงานจนห่างลูก
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็ลูกมีตั้งแต่ลูกเอาแต่ใจ ก้าวร้าว ไม่เชื่อฟังใคร จนถึงซึมเศร้า ไม่พูด เก็บตัว กลัวคน หรืออาจจะติดทีวี
ซึ่งวัย 1-3 ปี เป็นวัยที่ต้องการความผูกพันแบบลึกซึ้ง และมักเลียนแบบผู้ใกล้ชิด ลูกจะเป็นอย่างไรจึงขึ้นอยู่กับคนเลี้ยงที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกัน แต่ลูกก็ยังเกิดความผูกพันลึกซึ้งกับใครคนใดคนหนึ่งไม่มากเท่ากับเด็กที่มีคุณพ่อหรือคุณแม่อยู่ด้วยทั้งวัน จึงทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย และไม่อบอุ่นเท่าที่ควร
ส่วนผลกระทบในอนาคตนั้นไม่แน่ว่าจะมีหรือไม่ เพราะหลังจาก 3 ขวบ ลูกก็จะเข้าโรงเรียน ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานที่ที่ไปถ้าเขาไปอยู่โรงเรียนที่ครูใส่ใจ เข้าใจพัฒนาการเด็กก็อาจจะช่วยได้ แต่หากไปอยู่โรงเรียนที่ครูไม่สามารถใส่ใจเด็กได้ด้วยข้อจำกัดที่ปริมาณเด็กมาก ก็จะมีปัญหาระยะยาวแน่ ๆ ค่ะ
สิ่งที่ลูกวัยนี้ต้องการคือ คนที่ทำให้เขารู้สึกว่าไว้ใจได้ อยุ่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย และตอบสนองเขาได้อย่างเหมาะสม มากกว่าเพียงอาหารสะอาด สิ่งแวดล้อมปลอดภัย ซึ่งจะมีใครทำหน้าที่นี้ได้ดีเท่าคุณพ่อคุณแม่ล่ะคะ ?
แต่หากจำเป็น คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องหาพี่เลี้ยงที่เข้าใจพัฒนาการเด็กใส่ใจเด็ก หรือหาเนิร์สเซอร์รี่ที่สถานที่มีความปลอดภัย ดูเรื่องความสะอาดของอาหารการกิน จำนวนพี่เลี้ยงและเด็กต้องสมดุลกัน คือพี่เลี้ยง 1 คน ต้องไม่ดูแลเด็กมากเกิน 4 คน
แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณพ่อคุณแม่เองด้วยค่ะ หากตระหนักและหมั่มเต็มเติมความต้องการของลูก กลับมาจากทำงานก็มาชดเชยให้ลูกในช่วงเย็นหรือเสาร์อาทิตย์ ก็จะช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ
เรื่องนี้ไม่ต้องลืม
การที่คุณพ่อคุณแม่ช่วยกันทำงานนอกบ้านทั้งคู่ไม่ใช่เรื่องผิดค่ะ แต่ก็มีเรื่องที่ต้องใส่ใจเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับลูก คือ
อย่าให้งานทำร้าย อย่าปล่อยให้ความเครียดจากในที่ทำงานมาทำร้ายลูกและครอบครัว สิ่งสำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ต้องไม่เก็บความเครียดจากที่ทำงานกลับมาบ้านด้วย
กินข้าวเย็นร่วมกัน คุณพ่อคุณแม่ควรกลับมากินข้าวเย็นกับลูกเพื่อเป็นเวลาที่ทุกคนมีความสุขร่วมกัน เป็น happy time นอกจากนี้ยังทำให้รู้จักลูกด้วยว่า เขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
เล่นกับลูก เมื่อกลับมาแล้วไม่เปิดทีวีจนกว่าลูกจะหลับ แล้วใช้เวลาเล่นกับลูกจะช่วยให้ลูกรู้สึกว่ามีคนใส่ใจเขา รักเขาอย่างลึกซึ้งคุณพ่อคุณแม่เองก็จะได้รู้จักลูกมากขึ้นด้วยค่ะ
วันหยุดสุดคุ้ม เปลี่ยนจากการพาลูกไปเที่ยวที่ห้างในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ มาเป็นการหากิจกรรมที่จะทำให้ทุกคนได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน อย่างเช่น อยู่บ้านแล้วเล่นด้วยกัน เป็นต้น
แม้จะเป็นการทำเพื่อลูกแต่สิ่งที่ลูกต้องการมากที่สุดก็คือ ความรัก ความอบอุ่นใกล้ชิดจากพ่อแม่ เพราะฉะนั้น วันนี้อย่าทำงานเพลินจนลืมนึกถึงเจ้าตัวน้อยที่คอยอยู่ที่บ้านนะคะ
โดย : เติบใหญ่วัยซน 1-3 ปี เพียงขวัญ
เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ พญ.เสาวภา พรจินดารักษ์
กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์
ขอบคุณบทความจาก : http://baby.kapook.com/view23286.html