Make Appointment

พ่อจ๋าแม่จ๋า...กลับมาเร็ว ๆ นะ

22 Feb 2017 เปิดอ่าน 1895

 สภาพเศรษฐกิจอย่างปัจจุบัน  ส่งผลให้ทั้งคุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ  ครอบครัว ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน  จึงทำให้ช่วงกลางวันไม่ได้อยู่กับลูก เอ...แล้วจะส่งผลต่อพัฒนาการของลูกหรือเปล่านะ ?

          ทำงานนอกบ้าน...ข้อดี  vs ข้อเสีย

           ข้อดี
ของการที่คุณพ่อคุณแม่ออกไปทำงานนอกบ้านทั้งคู่ คืออยู่บ้านตลอด 24 ชม. อาจทำให้คุณแม่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าไม่มีผลงานที่ชัดเจน  จนเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อตนเอง

          แต่พอได้ออกไปทำงานข้างนอกก็รู้สึกว่าตัวเองมีผลงาน  สามารถทำงานได้  ทำให้มีสุขภาพจิตดีเวลากลับเข้าบ้านก็จะสามารถมาเล่นกับลูก หรือสามารถกระตุ้นพัฒนาการลูกได้ดีกว่าอยู่บ้านแต่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำประโยชน์อย่างเต็มที่

          นอกจากนั้นคุณพ่อคุณแม่บางคนอาจรู้สึกว่าอยู่บ้านแล้วเครียดถ้าได้ทำงานแล้วจะรู้สึกผ่านคลาย  ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตเช่นกัน ซึ่งจะเป็นผลลัพธ์ต่อเนื่องค่ะ เพราะถ้าพ่อแม่อารมณ์ดีสุขภาพจิตดีรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า  กลับมาก็จะรู้สึกว่าเล่นกับลูกได้อย่างมีควาสุขมากขึ้น  ลูกเองก็จะอารมณ์ดี และมีความสุข

           ข้อเสีย  มี 2 ข้อใหญ่ ๆคือ 

          เครียด
   เมื่อคุณพ่อคุณแม่เครียดมาก ๆ ก็อาจมาลงกับลูกได้  เพราะรู้สึกว่าทำงานมาตลอดทั้งวันก็เหนื่อยมากแล้ว  เมื่อกลับถึงบ้านจึงอยากพักผ่อน ไม่อยากเล่นกับลูก

          ขาดโอกาสเข้าใจลูก  เพราะเวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ทำงาน  ส่วนลูกก็ให้คุณปู่คุณย่าหรือคุณตาคุณยายช่วยเลี้ยง  จึงวางใจว่าลูกจะได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี  และไม่ได้เข้าไปใกล้ชิดลูกอย่างเต็มที่ 

          เมื่อคุณพ่อคุณแม่กลับจากทำงานก็พักผ่อน  ในขณะที่ลูกวัย 1-3 ปี อยู่ในช่วงวัยของการพัฒนาอารมณ์  อาจมีการต่อต้าน  มีการทดลองว่าถ้าเขาทำแบบนี้แล้วพ่อแม่จะทำอย่างไร  เป็นวัยที่กำลังเรียนรู้การปรับอารมณ์  การวางตัว  รวมทั้งเรื่องความสามารถของตัวเอง 

          ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่ไม่เข้าใจพฤติกรรมลูก  ก็อาจเกิดปฏิกิริยาได้หลายแบบ เช่น ถ้าเป็นคุณพ่อคุณแม่กลุ่มที่มีบุคลิกแบบสมยอมก็ตามใจลูก  ลูกอยากได้อะไรก็หาให้หมดเลย แต่หากเป็นพ่อแม่กลุ่มที่เป็นแบบเด็ดขาดก็จะพยายามเอาชนะลูก  และสิ่งที่จะตามมาล้วนแต่เกิดผลเสียกับลูกทั้งนั้นค่ะ  

          จะเกิดอะไรกับลูก ? หากทำงานจนห่างลูก

          ปัญหาที่เกิดขึ้นก็ลูกมีตั้งแต่ลูกเอาแต่ใจ ก้าวร้าว  ไม่เชื่อฟังใคร  จนถึงซึมเศร้า ไม่พูด เก็บตัว กลัวคน  หรืออาจจะติดทีวี  

          ซึ่งวัย 1-3 ปี  เป็นวัยที่ต้องการความผูกพันแบบลึกซึ้ง  และมักเลียนแบบผู้ใกล้ชิด  ลูกจะเป็นอย่างไรจึงขึ้นอยู่กับคนเลี้ยงที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกัน  แต่ลูกก็ยังเกิดความผูกพันลึกซึ้งกับใครคนใดคนหนึ่งไม่มากเท่ากับเด็กที่มีคุณพ่อหรือคุณแม่อยู่ด้วยทั้งวัน จึงทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย และไม่อบอุ่นเท่าที่ควร

          ส่วนผลกระทบในอนาคตนั้นไม่แน่ว่าจะมีหรือไม่ เพราะหลังจาก 3 ขวบ ลูกก็จะเข้าโรงเรียน  ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานที่ที่ไปถ้าเขาไปอยู่โรงเรียนที่ครูใส่ใจ  เข้าใจพัฒนาการเด็กก็อาจจะช่วยได้ แต่หากไปอยู่โรงเรียนที่ครูไม่สามารถใส่ใจเด็กได้ด้วยข้อจำกัดที่ปริมาณเด็กมาก ก็จะมีปัญหาระยะยาวแน่ ๆ ค่ะ 

          สิ่งที่ลูกวัยนี้ต้องการคือ คนที่ทำให้เขารู้สึกว่าไว้ใจได้  อยุ่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย  และตอบสนองเขาได้อย่างเหมาะสม มากกว่าเพียงอาหารสะอาด  สิ่งแวดล้อมปลอดภัย  ซึ่งจะมีใครทำหน้าที่นี้ได้ดีเท่าคุณพ่อคุณแม่ล่ะคะ ? 

          แต่หากจำเป็น คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องหาพี่เลี้ยงที่เข้าใจพัฒนาการเด็กใส่ใจเด็ก หรือหาเนิร์สเซอร์รี่ที่สถานที่มีความปลอดภัย ดูเรื่องความสะอาดของอาหารการกิน  จำนวนพี่เลี้ยงและเด็กต้องสมดุลกัน  คือพี่เลี้ยง 1 คน  ต้องไม่ดูแลเด็กมากเกิน 4 คน 

          แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณพ่อคุณแม่เองด้วยค่ะ หากตระหนักและหมั่มเต็มเติมความต้องการของลูก  กลับมาจากทำงานก็มาชดเชยให้ลูกในช่วงเย็นหรือเสาร์อาทิตย์  ก็จะช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ  

          เรื่องนี้ไม่ต้องลืม

          การที่คุณพ่อคุณแม่ช่วยกันทำงานนอกบ้านทั้งคู่ไม่ใช่เรื่องผิดค่ะ  แต่ก็มีเรื่องที่ต้องใส่ใจเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับลูก คือ 

           อย่าให้งานทำร้าย   อย่าปล่อยให้ความเครียดจากในที่ทำงานมาทำร้ายลูกและครอบครัว  สิ่งสำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ต้องไม่เก็บความเครียดจากที่ทำงานกลับมาบ้านด้วย

           กินข้าวเย็นร่วมกัน   คุณพ่อคุณแม่ควรกลับมากินข้าวเย็นกับลูกเพื่อเป็นเวลาที่ทุกคนมีความสุขร่วมกัน เป็น happy time นอกจากนี้ยังทำให้รู้จักลูกด้วยว่า เขาชอบอะไร  ไม่ชอบอะไร

           เล่นกับลูก   เมื่อกลับมาแล้วไม่เปิดทีวีจนกว่าลูกจะหลับ  แล้วใช้เวลาเล่นกับลูกจะช่วยให้ลูกรู้สึกว่ามีคนใส่ใจเขา  รักเขาอย่างลึกซึ้งคุณพ่อคุณแม่เองก็จะได้รู้จักลูกมากขึ้นด้วยค่ะ

           วันหยุดสุดคุ้ม   เปลี่ยนจากการพาลูกไปเที่ยวที่ห้างในวันหยุดเสาร์อาทิตย์  มาเป็นการหากิจกรรมที่จะทำให้ทุกคนได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน  อย่างเช่น  อยู่บ้านแล้วเล่นด้วยกัน  เป็นต้น

          แม้จะเป็นการทำเพื่อลูกแต่สิ่งที่ลูกต้องการมากที่สุดก็คือ ความรัก ความอบอุ่นใกล้ชิดจากพ่อแม่  เพราะฉะนั้น  วันนี้อย่าทำงานเพลินจนลืมนึกถึงเจ้าตัวน้อยที่คอยอยู่ที่บ้านนะคะ

 

โดย : เติบใหญ่วัยซน 1-3 ปี  เพียงขวัญ

เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ พญ.เสาวภา  พรจินดารักษ์

กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์

ขอบคุณบทความจาก : http://baby.kapook.com/view23286.html