Make Appointment

ลมบ้าหมู หรือ โรคลมชัก

24 Aug 2016 เปิดอ่าน 3127

  โรคลมชัก (Epilepsy) เกิดจาก ความผิดปกติของการนำกระแสไฟฟ้าภายในสมอง มักจะเป็นพักๆ (ช่วงเวลาสั้นๆ) และมีโอกาสเป็นซ้ำสูง ยกเว้นภาวะชักต่อเนื่อง (Status epilepticus) แต่เดิมคนไทยเคยเรียกว่า โรคลมบ้าหมู แต่ปัจจุบันใช้คำว่าโรคลมชัก และในอนาคตมีแนวโน้มจะเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า เป็น โรคคลื่นไฟฟ้าสมองผิดปกติแทน (Abnormal brain wave)
       
       ที่เปลี่ยนชื่อเนื่องจากอาการของโรคลมชักไม่จำเป็นต้องมีอาการชักเกร็งหรือกระตุกของกล้ามเนื้อ แต่อาการผิดปกติที่พบบ่อยที่สุด คืออาการเหม่อลอย อาจมีตาค้างหรือตาเหลือก และเรียกไม่รู้สึกตัว ดังนั้นการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลมชักอาจสร้างความเข้าใจผิดว่าต้องมีอาการชักเกร็ง กระตุกของร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยในแง่การเข้าสังคม รวมถึงการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพของผู้ป่วย
       
       การวินิจฉัยและการสืบค้นในโรคลมชัก(Diagnosis and investigation) : ผู้ป่วยจะต้องมีการชักโดยไม่มีปัจจัยกระตุ้นมากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป หรือชักครั้งแรกแต่มีโอกาสที่จะชักซ้ำสูง ดังนั้นผู้ป่วยที่มีอาการชักครั้งแรก จำเป็นต้องได้รับการตรวจประเมินว่าจะมีโอกาสชักซ้ำมากเท่าใด รวมทั้งหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการชัก ซึ่งการประเมินดังกล่าวต้อง อาศัยการซักประวัติอาการ การตรวจร่างกาย การตรวจร่างกายทางระบบประสาท การตรวจเลือด การตรวจภาพวินิจฉัยสมอง(CT or MRI brain) และที่สำคัญที่สุดคือการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) ส่วนการตรวจน้ำไขสันหลัง (CSF analysis) จะทำเฉพาะบางกรณี เช่น สงสัยภาวะติดเชื้อในระบบประสาท
       
       สาเหตุที่พบได้บ่อย (Common etiology) คือ แผลเป็น (gliosis) ที่เกิดขึ้นบนผิวสมอง ซึ่งอาจเกิดจาก โรคติดเชื้อภายในสมอง ภายหลังอุบัติเหตุทางสมอง ภายหลังจากเลือดออกในสมองหรือหลอดเลือดสมองตีบตัน เนื้องอกภายในสมอง ภาวะชักซ้ำๆหรือภาวะชักต่อเนื่อง สามารถพบในสมองเด็กที่กำลังเจริญเติบโตที่เรียกว่ากลุ่มอาการโรคลมชักในเด็ก (Epilepsy syndrome) หรือแม้กระทั่งสมองของผู้สูงอายุที่มีรอยเหี่ยวย่นผิดปกติ อย่างไรก็ตามพบว่ามีผู้ป่วยประมาณ 10-20% ที่ไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติใดๆ ภายในสมอง
       
       การรักษาโรคลมชัก (Treatment) ประกอบด้วย การรับประทานยากันชัก(Anti- epileptic drug) การรักษาสาเหตุที่เฉพาะ และการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น ได้แก่ การอดนอน การออกกำลังกายหักโหม ยาบางชนิด การดื่มสุรา การใช้สารเสพติด ภาวะตึงเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งถ้าผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะสามารถหายขาดจากโรคลมชักโดยประมาณ 60-70% ส่วนกลุ่มที่เหลืออีก 30% จะเรียกว่าภาวะที่ดื้อต่อยากันชัก (Drug-resistant epilepsy) ซึงปัจจุบันสามารถให้การรักษาด้วยการผ่าตัด(Epilepsy surgery) อย่างไรก็ตามการผ่าตัดรักษาโรคลมชักยังมีอีกหลายวิธี ซึ่งมีความจำเพาะต่อผู้ป่วยแต่ละรายไป จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่ดูแลโรคลมชักเป็นหลักจะสามารถแนะนำวิธีการผ่าตัดที่เหมาะสมให้ผู้ป่วยได้
       
       การดูแลผู้ป่วยขณะมีอาการชัก หรือการปฐมพยาบาล(First aid) ที่สำคัญ คือ ให้นำผู้ป่วยลงที่ต่ำ ระวังอุบัติเหตุจากการกระแทกของแข็ง นอนตะแคงเพื่อป้องกันการสำลัก ห้ามใส่อะไรเข้าไปในปากผู้ป่วยโดยเด็ดขาด และต้องป้องกันอันตรายต่างๆ ที่เกิดขึ้นขณะที่ผู้ป่วย สูญเสียความรู้สึกตัว และอย่าไปงัดหรือฝืนร่างกายผู้ป่วยขณะเกร็ง เพราะจะทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อร่างกายผู้ป่วยมากขึ้น โดยทั่วไปผู้ป่วยมักจะหยุดชักได้เองภาย ใน 1-2 นาทีเท่านั้น ในกรณีที่ไม่หยุดชักเองหรือมีภาวะชักต่อเนื่องให้รีบส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงทันทีเพราะต้องรีบให้ยาระงับชักโดยเร่งด่วน
       
       ส่วนตัวผู้ป่วยเอง ก็ต้องพึงระวังกิจกรรมต่างๆ ที่อาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุอันตรายทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น เช่น การขับรถ การว่ายน้ำ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าและ ที่สูง

 

นพ.เจษฎา ทวีโภคสมบูรณ์

* ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000131405&Html=1&TabID=1&