สิวสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ฮอร์โมนแอนโดรเจนที่เพิ่มขึ้น แบคทีเรีย Propionibacterium acnes พันธุกรรม เครื่องสำอาง ยาและ โรคบางชนิด การระคายเคืองผิว แม้กระทั่งถูกแสงแดดที่แรงและนานเกินไปก็ทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน
ผลจากสิว อาจทำให้เกิด รอยแกะสิว รอยแดงรอยดำจากสิว แผลเป็นนูน และหลุมสิว
(แบ่งเป็น 3 ชนิดคือ หลุมสิวแบบน้ำแข็งเจาะ, หลุมสิวแบบรูปกล่องสี่เหลี่ยม และหลุมสิวแบบก้นกระทะ)
การรักษาสิวสามารถทำได้โดย
- ยากลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ ลดการอุดตันของรูขุมขน และลดการอักเสบของสิว
- ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย ทำให้สิวอักเสบลดลง
- กลุ่มยาฮอร์โมน (ยาคุมกำเนิด และยาขับปัสสาวะกลุ่ม spironolactone) ออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจน
ผู้มีประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็งเต้านม โรคตับ และโรคเลือดแข็งตัวง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิดนะคะ
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดผลไม้ ช่วยผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นนอกทิ้ง ลดการอุดตัน และลดสิวอักเสบ
- การกดสิว เสี่ยงเกิดรอยช้ำหรือแผลเป็น หากเทคนิคหรือเครื่องมือไม่เหมาะสม
- การใช้เลเซอร์/แสง ช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย สิวอักเสบจึงลดลง และแก้ไขปัญหาหลุมสิว
การใช้ยาและการรักษาควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เมื่อเป็นสิว ห้ามแคะ แกะ เกา หรือกดสิวด้วยตนเองเด็ดขาด เพราะมักก่อให้เกิดหลุมสิวและแผลเป็น ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน เลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลัก ถ้าไม่ไหวจะเคลียร์ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน
พ.ญ. อนงค์ลักษณ์ รัตนศิริวิไล
แพทย์ด้านผิวหนัง สถาบันความงาม
โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์
ขอบคุณบทความจาก : http://www.never-age.com/2276-1-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%86.html