โรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์-อัมพาต) หรือ Stroke เกิดจากภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เพราะมีการอุดตันของเส้นเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนต่างๆ ส่งผลให้สมองขาดเลือด อยู่ในภาวะที่ทำงานไม่ได้ กลายเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน
อาการเบื้องต้นที่พบบ่อยของโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน เช่น ตาพร่ามัวมองเห็นภาพซ้อน มีอาการชาครึ่งซีก อ่อนแรงและหน้าเบี้ยว หรือมีอาการแขนขาอ่อนแรงร่วมด้วย พูดลำบาก หรือฟังไม่เข้าใจ เวียนศีรษะ การทรงตัวไม่ดี เดินเซ กลืนลำบาก ปวดศีรษะ (บางครั้งจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง)
ซึ่งอาจจะแสดงอาการออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมีอาการหลายอย่างพร้อมกัน ส่วนใหญ่ โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน มักเกิดในกลุ่มวัยกลางคนขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงวัยที่กำลังสร้างสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์ เพื่อให้การรักษาและวินิจฉัยโดยด่วน ถ้าผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ได้รับการรักษาและสามารถกลับคืนมาเป็นปกติ
สาเหตุและผลกระทบของอาการของโรคหลอดเลือดในสมอง
สาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากการมีไขมันไปเกาะผนังหลอดเลือดด้านในหลอดเลือดสมอง หรือมีลิ่มเลือดขนาดเล็กที่ลิ้นหัวใจและผนังหัวใจหลุดลอยตามกระแสเลือดไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง ซึ่งมักพบในผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจโต ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว ผนังหัวใจรั่ว หรือเกิดจากการฉีกของผนังหลอดเลือดด้านในทำให้เส้นเลือดอุดตัน รวมถึงการแข็งตัวของเลือดที่เร็วเกินไป หรือเกล็ดเลือดมากเกินไปล้วนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หลอดเลือดอุดตันได้
การรักษา และการปฏิบัติตัว
การดูแลรักษาสุขภาพ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง รวมถึงพยายามควบคุมให้ความดันโลหิตเป็นปกตินับเป็นหัวใจหลักที่ต้องยึดถือปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว
การรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองชนิดที่ขาดเลือดเฉียบพลัน หลัง 4.5 ชั่วโมงแรก
ผู้ป่วยกลุ่มนี้ เนื้อสมองที่ขาดเลือดจะตายทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด การเปิดหลอดเลือดโดยยาละลายลิ่มเลือด ไม่ช่วยให้เนื้อสมองฟื้นตัว แต่อาจทำให้มีโอกาสเลือดออกในสมองเพิ่มขึ้นได้ จึงห้ามใช้ยาละลายลิ่มเลือดในผู้ป่วยกลุ่มนี้
การรักษาด้วยยาในผู้ป่วยกลุ่มนี้คือ
- ยาต้านเกล็ดเลือด
- ยาป้องกันเลือดแข็งตัว ( Anticoagulant )
- ยาลดความดัน
- ยาลดไขมัน
การทำกายภาพบำบัดในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง แม้ว่าอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจะมีแนวโน้มลดลง แต่ผู้ป่วยจะเกิดอาการบกพร่องหรือพิการต่างๆ เกิดขึ้นกับร่างกาย อาการบกพร่องพิการเหล่านี้ บางอย่างอาจฟื้นฟูให้กลับมาสู่สภาพเดิมได้ยาก และผู้ป่วยกว่า 2 ใน 3 จะเกิดอาการบกพร่องพิการอย่างใดอย่างหนึ่งติดตัวไปตลอดชีวิต
ดังนั้น ระหว่างที่ผู้ป่วยรับการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง ก็จะต้องทำการบำบัดเพื่อฟื้นฟูอาการบกพร่องพิการต่างๆ ควบคู่กันไปด้วย เพื่อไม่ให้อาการบกพร่องพิการทรุดหนักไปมากกว่านั้น การบำบัดรักษาอาการบกพร่องพิการนี้ เรียกว่า "เวชศาสตร์ฟื้นฟู" ซึ่งนอกจากจะหมายถึงการฟื้นฟูอาการแขนขาอ่อนแรงจากการเป็นอัมพาตอัมพฤกษ์แล้ว ยังรวมถึงการฝึกฝนเพื่อบำบัดรักษาอาการบกพร่องต่างๆ เช่น การพูด การกลืนกินอาหาร และอื่นๆ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ตามเดิม เวชศาสตร์ฟื้นฟูสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
แบ่งได้เป็น 3 ระยะคือ "ระยะเฉียบพลัน" "ระยะฟื้นตัว" และ "ระยะทรงตัว"
การเริ่มทำการบำบัดฟื้นฟู
ควรเริ่มตั้งแต่ขั้นระยะเฉียบพลัน ในขณะ ที่ผู้ป่วยยังต้องนอนพักอยู่บนเตียงโดยลำดับแรก จะเป็นการฝึกเพื่อจัดวางตำแหน่งของมือและเท้า ในท่านอนให้ถูกต้อง และฝึกการพลิกตัวเพื่อ ป้องกันการเกิดแผลกดทับ โดยจะต้องเปลี่ยนท่า นอนให้แก่ผู้ป่วยทุกๆ 2 ชั่วโมง และใช้ผ้าห่ม หมอน หรือถุงทราย เพื่อรองมือหรือเท้า เพื่อจัด ท่านอนของผู้ป่วยให้ถูกต้อง นอกจากนี้จะต้องช่วยขยับข้อต่อต่างๆ ให้แก่ผู้ป่วย เพื่อป้องกันอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งและข้อต่อติด ให้แก่ผู้ป่วยด้วยการดูแลผู้ป่วยด้วยวิธีข้างต้นจะต้องทำให้แก่ผู้ป่วยทุกรายแม้จะยังไม่มีสติก็ตาม ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ป่วยในระยะที่ต้องนอนอยู่บนเตียง ก่อนที่จะเริ่มทำการบำบัดฟื้นฟูอย่างจริงจังในระยะ ต่อไป
นพ.พรเทพ มิ่งมาลัยรักษ์
อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท
ศูนย์หลอดเลือดสมอง
และระบบประสาท โรงพยาบาลศิครินทร์
* ขอบคุณข้อมูลจาก : http://healthinfo.in.th/hiso5/healthy/news.php?names=03&news_id=5311