โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคแพ้อากาศ เป็นโรคที่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อสารบางอย่างที่เรียกว่าสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ละอองเกสรดอกไม้ รังแคสัตว์ เช่น แมว สุนัข และเชื้อรา โดยเมื่อผู้ป่วยสัมผัสสารก่อภูมิแพ้จะทำให้มีอาการทางจมูกอย่างน้อย 2 ใน 4 อาการต่อไปนี้คือ จาม คันจมูก คัดจมูก และมีน้ำมูกใส ๆ นอกจากนี้อาจมีอาการร่วม ได้แก่อาการทางตาคือคันตา ตาแดง น้ำตาไหล และอาจมีอาการหอบหืดร่วมด้วยได้
นอกจากมีอาการดังกล่าวแล้วจะสังเกตได้ว่าอาการเหล่านี้จะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง และอาจมีปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการชัดเจน เช่น สัมผัสกับฝุ่นละออง เดินในสนามหญ้า หรือ ไปเล่นกับแมว แล้วมีอาการขึ้นเฉียบพลัน โดยถ้ามีคุณพ่อและ/หรือคุณแม่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือ โรคหอบหืด จะเพิ่มความเสี่ยงที่ลูกจะเป็นโรคได้จากกรรมพันธุ์ค่ะ
หากสงสัยว่าลูกเป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ควรปรึกษากุมารแพทย์โรคภูมิแพ้เพื่อยืนยันการวินิจฉัย โดยการตรวจร่างกายและนัดทำการทดสอบภูมิแพ้ โดยผลการทดสอบจะสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ลูกแพ้ ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงได้ถูกต้อง ซึ่งการทดสอบภูมิแพ้มีด้วยกัน 2 วิธี คือ การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (skin test) และการตรวจเลือดเพื่อหา IgE ที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้ (specific IgE)
เมื่อได้รับการวินิจฉัยที่แน่นอนแล้วว่าลูกเป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ แพทย์จะแนะนำข้อควรปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงหรือควบคุมสารก่อภูมิแพ้ที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้เหลือน้อยที่สุดตามชนิดสารก่อภูมิแพ้ และใช้ยาบรรเทาอาการ เช่น ยาต้านฮีสตามีน ยาลดอาการคัดจมูก ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก และนัดติดตามอาการเป็นระยะเพื่อสังเกตอาการและปรับลดการใช้ยาลงเท่าที่จำเป็น หากการรักษาเบื้องต้นดังกล่าวได้ผลไม่ดีจึงพิจารณารักษาด้วยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ หรือ การผ่าตัด
การควบคุมอาการของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้มีความสำคัญมากนะคะ เพราะหากไม่ควบคุมโรคให้ดีแล้ว ลูกจะมีการอักเสบของเยื่อบุจมูกและทางเดินหายใจเรื้อรัง ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา เช่น โรคหอบหืด ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ และมีความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคในระบบทางเดินหายใจได้ง่ายกว่าปกติ
การที่ลูกมีน้ำมูกเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังไม่ใช่เรื่องปกติของเด็ก ๆ นะคะ หากคุณพ่อคุณแม่อ่านบทความนี้แล้วสงสัยว่าลูกมีอาการมีน้ำมูกบ่อย ๆ จากโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต เพราะโรคนี้สามารถควบคุมอาการได้หากได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมค่ะ
* ขอบคุณข้อมูลจาก : http://th.theasianparent.com/
