โรคเบาหวาน คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงกว่าปกติ
โรคเบาหวานเกิดขึ้นได้อย่างไร
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงในผู้ป่วยเบาหวานเป็นผลมาจากการขาดฮอร์โมน “อินซูลิน” หรือประสิทธิภาพการทำงานของ “อินซูลิน” ลดลง ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้ตามปกติ
โรคเบาหวานสามารถแบ่งออกเป็นชนิดใหญ่ ๆ ได้สองชนิด
โรคเบาหวานชนิดที่ 1
เกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย หรือผลิตได้น้อยมาก และมักตรวจพบตั้งแต่วัยเด็ก หรือเริ่มเข้าวัยผู้ใหญ่ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 มักต้องรับการรักษาด้วยการฉีดอินซูลิน
โรคเบาหวานชนิดที่ 2
เป็นโรคเบาหวานชนิดที่พบมากในผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่ในประเทศไทย (ประมาณร้อยละ 95) และผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่ทั่วโลก
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 นั้น ตับอ่อนยังคงผลิตอินซูลินได้ แต่อาจผลิตในปริมาณที่ไม่เพียงพอ เพราะอินซูลินที่ผลิตออกมาไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทางการแพทย์เรียกภาวะนี้ว่า ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
อาการของโรคเบาหวาน
- ปัสสาวะบ่อยและมาก ปัสสาวะกลางคืน
- คอแห้ง กระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก
- หิวบ่อย รับประทานจุแต่น้ำหนักลดลง และมีอาการอ่อนเพลีย
- ถ้าเป็นแผลจะหายยาก มีการติดเชื้อตามผิวหนังบ่อย
- ติดเชื้อรา โดยเฉพาะบริเวณช่องคลอด
- ตาพร่ามัว
- ชาปลายมือ ปลายเท้า
โรคแทรกซ้อนเฉียบพลัน
เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงมาก มักพบในผู้ป่วยซึ่งการควบคุมเบาหวานไม่ดี อาจมีการติดเชื้อแทรกเป็นตัวกระตุ้น จะมีอาการของเบาหวานรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยอาจจะซึม จนกระทั่งหมดสติ บางรายมีอาการชักกระตุกเฉพาะที่ ถ้ามีภาวะเลือดเป็นกรดร่วมด้วย ผู้ป่วยจะหายใจหอบ
โรคแทรกซ้อนเรื้อรังมีอะไรบ้าง
โรคแทรกซ้อนจากหลอดเลือดใหญ่ เกิดการตีบแคบของหลอดเลือด ทำให้เกิดอุดตันได้ง่าย ทำให้เกิดอาการตามแต่ที่หลอดเลือดผิดปกติ
1. โรคหัวใจขาดเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
2. อัมพฤกษ์และอัมพาตจากหลอดเลือดสมองอุดตัน
3. โรคความดันโลหิตสูง
4. ปวดน่องเวลาเดินนาน ๆ จากหลอดเลือดที่ขาตีบ หรือเกิดแผลจากขาดเลือด
โรคแทรกซ้อนจากหลอดเลือดฝอย
1. โรคแทรกซ้อนทางตา เช่น อาการตามัว เบาหวานขึ้นตา (retinopathy)
2. โรคแทรกซ้อนทางไต ทำให้ไตเสื่อม ไตวาย
โรคแทรกซ้อนทางระบบประสาท คือ อาการชาตามเท้าและมือ หรืออาจมีอาการปวดก็ได้
โรคแทรกซ้อนเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวานมีความสัมพันธ์ กับระยะเวลาการเป็นโรคและระดับการควบคุมเบาหวาน นั่นคือ ถ้ายิ่งเป็นโรคเบาหวานระยะนานหรือควบคุมระดับน้ำตาลได้ยิ่งไม่ดี ก็ยิ่งจะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนมากขึ้น
แม้ผู้ป่วยจะไม่มีอาการอะไรในระยะแรก แต่ถ้าได้รับการตรวจค้นวินิจฉัยและรักษา รวมถึงการดูแลตนเองให้ดีอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก จะช่วยลดและชะลอหรือแม้แต่ป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนเหล่านี้ได้
ใครควรได้รับการตรวจหาโรคเบาหวาน
- ผู้มีอาการของโรคเบาหวาน
- ผู้ที่ไม่มีอาการ แต่อายุเกิน 40 ปี (ถ้าตรวจแล้วปกติให้ตรวจซ้ำทุก 3 ปี)
- ผู้ที่ไม่มีอาการ แต่มีความเสี่ยงต่อการเป็น
โรคเบาหวาน ดังนี้
พ่อ แม่ พี่ น้อง เป็นโรคเบาหวาน
น้ำหนักตัวมาก ดัชนีมวลกาย ≥ 25 กก./ตารางฟุต
มีประวัติ “ความทนต่อกูลโคส” ผิดปกติ
ความดันโลหิตสูง (มากกว่า 140/90 มม.ปรอท)
ระดับไขมัน เอชดีแอล ต่ำกว่า 35 มก./ดล. และ/หรือ ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ มากกว่า 250 มก./ดล.
คลอดบุตรที่มีน้ำหนักเกิน 4 กก. หรือเคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- มีระดับ HDL- cholesterol ≤ 35 กก.ดล. และ/หรือไตรกลีเซอไรด์ ≥ 250 มก.ดล.ในเลือด
- ออกกำลังกายน้อย
- มีโรคของหลอดเลือด
- มีภาวะสัมพันธ์กับภาวะดื้ออินซูลิน : Polycystic ovarian syndrome, acanthosis nigricans
การดูแลตนเองเมื่อเป็นเบาหวาน
1. เรียนรู้เรื่องเบาหวาน
2. ควบคุมอาหาร รับประทานสม่ำเสมอ
3. ออกกำลังกาย สม่ำเสมอ
4. วัดผลการควบคุม
5. พบแพทย์ตามนัด และใช้ยาตามแพทย์สั่งเท่านั้น
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) เป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากยาเบาหวานบางชนิดมักมีอาการต่อไปนี้:
- รู้สึกไม่สบายเฉียบพลัน
- หิวมาก มือสั่น เหงื่อออกมาก ตัวเย็น เห็นภาพซ้อน
- หน้าซีด พูดไม่ชัก
- กรณีรุนแรงมากอาจซัก หมดสติ
- ถ้าเกิดเวลากลางคืน ผู้ป่วยบางรายอาจไม่ตื่นขึ้นมา
การป้องกัน
1. รับประทานอาหารให้ตรงต่อเวลาและจำกัดปริมาณอาหารแต่ละมื้อให้พอเหมาะไม่มากหรือน้อยเกินไป
2. ฉีดยา และรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งปริมาณและให้ตรงตามเวลาที่ควรได้รับ
3. ปรึกษาแพทย์ในกรณีที่ต้องรับประทานยาสำหรับโรคอื่น ๆ ร่วมด้วยเพราะยาเหล่านั้นอาจมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
4. ควรมีน้ำผลไม้ ลูกกวาด น้ำตาลก้อนติดตัวไว้กรณีฉุกเฉิน@
โดย พญ. เพ็ญพันธุ์ ภูริปัญโญ
ขอบคุณบทความจาก : http://thonburihospital.com/2015_new/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99.html