โรคกระดูกพรุน จัดเป็นปัญหาที่เราทุกคนต้องเผชิญในอนาคต เพราะเมื่ออายุ 30 ปี ขึ้นไป กระดูกจะเริ่มมีการสลายมากกว่าการสร้าง ทำให้เนื้อกระดูกลดลง และเกิดภาวะกระดูกพรุนได้
โรคกระดูกพรุน เกิดจากการลดลงของปริมาณกระดูกในร่างกายร่วมกับมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในของกระดูก เป็นผลให้ความแข็งแรงของกระดูกโดยรวมลดลง และเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้
โรคกระดูกพรุนส่วนใหญ่ พบในผู้สูงอายุประมาณ 60 ปีขึ้นไป และเป็นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงจะมีการลดลงของเนื้อกระดูกอย่างมากในช่วง 5 ปีแรกหลังหมดประจำเดือน นอกจากนี้ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนยังพบได้ในภาวะผู้ป่วยที่ได้รับการตัดรังไข่ 2 ข้าง ผู้ป่วยโรคทางเดินอาหารที่มีความผิดปกติในการดูดซึมสารแคลเซียม ผู้ป่วยที่รับประทานยาบางชนิด เช่น สารสเตียรอยด์ หรือยากันชัก รวมถึงผู้ป่วยที่เป็นโรครูมาตอยด์ หรือตับอักเสบเรื้อรังก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากขึ้น
โดยทั่วไปผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะไม่มีอาการใด ๆ จนกว่าจะมีอาการแสดงซึ่งได้แก่กระดูกหัก ตำแหน่งที่พบบ่อยในโรคกระดูกพรุน ได้แก่ บริเวณข้อมือ ข้อสะโพก หรือกระดูกสันหลัง ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น อาการปวดหลังเรื้อรัง รูปร่างผิดปกติ เสียสมดุลการเดิน และการทำงานของอวัยวะภายในช่องท้องและทรวงอกผิดปกติ
โรคกระดูกพรุนวินิจฉัยได้จากการตรวจค่าความหนาแน่นของกระดูกด้วยเครื่องมือ DEXA นอกจากนี้ยังสามารถตรวจเลือดเพื่อหาความผิดปกติอื่น ๆ เช่น การขาดวิตามินดี และสามารถตรวจประเมินอัตราการสร้างและสลายของกระดูกได้ การตรวจเพิ่มเติมนี้ เพื่อใช้ในการตัดสินใจวางแผนการรักษาและติดตามผลการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป
สำหรับการรักษาโรคกระดูกพรุนด้วยยาในปัจจุบันมีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ยากลุ่มที่ลดอัตราการสลายกระดูก และยากลุ่มที่เสริมสร้างมวลกระดูก ทั้งนี้การใช้ยารักษาโรคกระดูกพรุนควรจะอยู่ภายใต้คำแนะนำที่เหมาะสมจากแพทย์ เนื่องจากยาแต่ละประเภทมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ฉะนั้น การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียม ได้แก่ นม โยเกิร์ต ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ปลาตัวเล็กที่รับประทานได้ทั้งกระดูก รวมถึงการรับวิตามินดีจากแสงแดด และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอประมาณ 15-20 นาที ทุกวัน จะช่วยได้ครับ
อ.นพ.อาศิส อุนนะนันทน์
* ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www2.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000081546