Make Appointment

สมรรถภาพทางเพศเสื่อม...เรื่องใหญ่นะเนี่ย

02 Sep 2016 เปิดอ่าน 1989

ปัจจุบันภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อม (ED) จะมีการศึกษาวิจัยเพื่อหาสาเหตุการเกิดและแนวทางการรักษาใหม่ๆ แต่เดิมเรารักษาภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อม (ED) ด้วยการบำบัดทางจิตวิทยา เพราะเมื่อก่อนทางการแพทย์สันนิษฐานว่าสาเหตุของการหย่อนสมรรถภาพเพศชาย เกิดจากสภาพจิตใจที่ผิดปกติ

ตลอด 20 ปี ที่ผ่านมาการรักษาสมรรถภาพทางเพศเสื่อม (ED) ได้เปลี่ยนไปเพราะพบว่า สาเหตุสำคัญมาจากเส้นเลือดแดงที่มาเลี้ยงลำอวัยวะเพศผิดปกติ ทั้งที่เกิดร่วมกับโรคประจำตัวต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น รวมทั้งยังเกิดตามหลังการบาดเจ็บต่ออวัยวะในอุ้งเชิงกราน โดยเฉพาะในเส้นเลือด เส้นประสาทส่วนปลาย และท่อทางเดินปัสสาวะ

ระยะแรกๆ แพทย์ศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะได้ทำการผ่าตัดต่อเส้นเลือดแดงที่มาเลี้ยงลำอวัยวะเพศ เพื่อเพิ่มปริมาณเลือดที่ไหลเวียนให้มากขึ้น แต่ประสบผลสำเร็จเฉพาะผู้ที่เกิดภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อม (ED) หลังประสบอุบัติเหตุต่ออุ้งเชิงกราน ที่มีการผิดปกติของเส้นเลือดเท่านั้น

สาเหตุด้านอื่นๆ กลับไม่ได้ผลดี เพราะเส้นเลือดที่ตัวลำอวัยวะเพศเองไม่ได้รับการรักษา ทำให้การขยายตัวของเส้นเลือดเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น หรือขยายตัวไม่เต็มที่ จึงได้พัฒนาการผ่าตัดโดยการใส่แกนอวัยวะเพศชายเทียม

โดยการผ่าตัดสอดไว้ในลำอวัยวะเพศ เพื่อให้ลำอวัยวะเพศเหยียดออก โดยอุปกรณ์ดังกล่าวมีหลายรูปแบบ ทั้งแกนแข็งแบบดัดได้ หรือแบบที่สามารถยืดและหดตัวได้ด้วยระบบน้ำ การผ่าตัดด้วยวิธีนี้มีความสำเร็จสูงมาก แต่ไม่แพร่หลายในประเทศไทยและเอเชียมากนัก เนื่องจากอุปกรณ์มีราคาสูง และมักใช้ในรายที่เป็นมากๆ รักษาด้วยวิธีต่างๆ ไม่ได้ผลแล้ว

เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ทางการแพทย์ได้ค้นพลกลไกการขยายตัวของหลอดเลือดแดงในลำอวัยวะเพศ ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า ร่างกายต้องถูกกระตุ้นทางระบบประสาทก่อน และเส้นประสาทจะหลั่งสารเคมีไปกระตุ้นให้เส้นเลือดแดงในลำอวัยวะเพศขยายตัว เลือดจึงเข้าไปภายในมากขึ้น จนเบียดเส้นเลือดดำที่อยู่บริเวณผนังของลำอวัยวะเพศให้ตีบแคบ เลือดจึงคั่งอยู่ภายใน สามารถเกิดการแข็งตัวของอวัยวะเพศได้ เมื่อเข้าใจกลไกดังกล่าวจึงได้คิดค้นผลิตยาในกลุ่มที่ยับยั้ง PDE-5 ซึ่งเป็นสารเอนไซม์ ที่ทำให้เส้นเลือดแดงดังกล่าวหดตัว

ดังนั้นเมื่อยายับยั้ง PDE-5 ทำงานก็จะทำให้เส้นเลือดแดงในลำอวัยวะเพศยังคลขยายตัวอยู่ ยากลุ่มนี้จึงมีการใช้ในวงการแพทย์อย่างแพร่หลายทั่งโลก คือ Vardenafil (Levitra), Sildenafil (Viagra) และ Tadalafil (Cialis) โดยความไวในการตอลสนองต่อยาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความผิดปกติของเส้นเลือด และเส้นประสาทที่ควบคุมอวัยวะเพศ กลุ่มที่มีความรุนแรงน้อย หรือปานกลางจะตอบสนองได้ดี เนื่องจากในกลุ่มยับยั้ง PDE-5 ทุกตัว มีกลไกการออกฤทธิ์ต่อเส้นเลือดเล็กๆ ซึ่งมีอยู่ทั่วร่างกาย ในขณะที่ยาออกฤทธิ์จึงสามารถเกิดอาการหน้าแดง คัดจมูก เนื่องจากเส้นเลือดบริเวณใบหน้าขยายตัว แต่ก็เป็นอาการที่ไม่อันตราย หายไปเองเมื่อหมดฤทธิ์ยา

ทางการแพทย์มีข้อห้ามในการใช้ยาในกลุ่มยับยั้ง PDE-5 ทุกตัวคือ ห้ามใช้ร่วมกับยาไนเตรทที่ใช้รักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เพราะจะทำให้เกิดฤทธิ์ที่เสริมกัน เส้นเลือดทั่วไปขยายตัวมากเกินไปจนความดันโลหิตต่ำมาก เกิดภาวะช็อกได้

เมื่อผู้ประสบปัญหาสมรรถภาพทางเพศเสื่อม (ED) มารับการรักษาจากแพทย์ที่มีความรู้ ความชำนาญ ก็จะได้รับการประเมินและตรวจสุขภาพทั่วไปด้วย จึงเกิดการดูแลสุขภาพดีครบวงจร การดูแลเอาใจใส่ รวมทั้งการได้รับยาที่มีประสิทธิภาพดีก็ทำให้สภาวะร่างกาย และจิตใจดีขึ้น แข็งแรงขึ้น

ในอนาคตการศึกษาเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศเสื่อม (ED) จะเจาะลึกลงไปถึงการรักษาเส้นประสาท และเส้นเลือดที่ผิดปกติให้กลับมาทำงานได้ใกล้เคียงเดิม และยังมีการศึกษาถึงการใช้ฮอร์โมนเพศชาย ทั้งจากธรรมชาติ (สมุนไพรต่างๆ ) หรือสังเคราะห์ขึ้นมาใช้ร่วมในการรักษาภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อม (ED) ด้วย

นพ.กวิรัช ตันติวงษ์

* ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.todayhealth.org/family-health