“โรคกระดูกสันหลัง” ฟังดูแล้วอาจจะไม่ร้ายแรงเท่ากับโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจ แต่ก็สร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วยได้ไม่น้อย โดยมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ก็มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป มนุษย์หันมาให้ความสำคัญและทุ่มเทกับการทำงานมากขึ้นแทนที่จะใส่ใจและดูแลตัวเอง จนนำไปสู่การเกิดโรคทางกระดูกสันหลังโดยไม่รู้ตัว
นพ. พุทธิพร เธียรประสิทธิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สถาบันโรคกระดูกสันหลัง กรุงเทพโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคกระดูกสันหลังว่า กระดูกสันหลังแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ กระดูกสันหลังส่วนคอและส่วนเอว ซึ่งโรคกระดูกสันหลังที่มักเกิดขึ้นได้แก่ โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท โพรงกระดูกสันหลังตีบทับ เส้นประสาท โรคข้อกระดูกสันหลังเลื่อนผิดรูป กระดูกสันหลังคดผิดปกติ จะมีอาการปวดร้าวจากการกดทับเส้นประสาท แขนขาอ่อนแรง ไม่สามารถเดินได้
คนไทยช่วงอายุที่พบโรคกระดูกสันหลังบ่อยที่สุดคือ ผู้สูงอายุ เนื่องจากกระดูกสันหลังเสื่อมทับเส้นประสาท รองลงมาคือวัยทำงานอายุประมาณ 35-45 ปี มักมีปัญหาเรื่อง กระดูกคอ หมอนรองกระดูกคอทับเส้น ซึ่งเกิดจากการแบกของหนัก การก้มเงยและท่านั่งที่ผิดปกติ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญ คือการสูบบุหรี่ และกลุ่มสุดท้ายคือเด็กอายุ 10 ขวบ ต้น ๆ มักมารักษาด้วยอาการของกระดูกสันหลังผิดรูป
การรักษาโดยส่วนใหญ่จะใช้วิธีการรักษาด้วยกายภาพบำบัดหรือรับประทานยา แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการของโรครุนแรงก็จำเป็นจะต้องผ่าตัด ซึ่งวิธีการผ่าตัดที่เป็นนิยมในปัจจุบันคือ การผ่าตัดกระดูกสันหลังแล้วยึดด้วยสกรูไททาเนียม โดยแพทย์ส่วนใหญ่จะใส่โดยอาศัยความชำนาญเฉพาะตัวให้เอียงเฉียงทำมุมตามการคาดคะเนจากกายวิภาคของกระดูกสันหลังภายนอก โดยคาดการณ์ว่าแนวของสกรูจะไม่ทำอันตรายต่อเส้นประสาท โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีกายวิภาคไม่ปกติ เช่น กระดูกสันหลังเล็กกว่าปกติ กระดูกสันหลังคดหรือเคลื่อน เป็นต้น
ในทุก ๆ ปี จึงมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ถูกส่งตัวมารับการแก้ไขเพื่อผ่าตัดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง โดยเกิดจากสกรูออกนอกแนวกระดูกที่ถูกต้อง เช่น สกรูอยู่ในตำแหน่งต่ำหรือสูงไปหรือเอียงมากไปเพียง 5-10 องศา ผลที่เกิดคือ สกรูจะเบียดทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อประสาท และหลังผ่าตัดผู้ป่วยจะมีอาการปวดร้าวตามเส้น ประสาทอย่างรุนแรงมากขึ้นหรือร้ายกว่านั้นคือการฉีกขาดของเส้นประสาท ทำให้อ่อนแรงหรือเป็นอัมพาตถาวร ผู้ป่วยมีความกังวลใจไม่มีความสุขในชีวิตและเก็บตัวเงียบ หรือร้ายแรงที่สุดคือระหว่างผ่าตัดเกิดแทงสกรูเข้าไปในเส้นเลือดใหญ่ด้านหน้าอาจถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้
ด้วยเหตุนี้ทางสถาบันฯจึงต้องการเครื่องช่วยในการผ่าตัด เพื่อช่วยให้เกิดความแม่นยำและถูกตำแหน่งมากขึ้น สามารถลดปัญหาต่าง ๆ ได้ โดยลงทุนถึงกว่า 30 ล้านบาทในการนำนวัตกรรมทางการแพทย์เข้ามาช่วยในการผ่าตัดโดยมีชื่อเรียกว่า เครื่องช่วยในการผ่าตัดด้วยระบบคอมพิวเตอร์สร้างภาพแบบสามมิติหรือเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ “โออาร์ม” (O-Arm) ทำงาน ร่วมกับเครื่องมือผ่าตัดนำวิถี (Navigation system) มีชื่อเรียกว่า “สเต็ลท์” (Stealth) มาช่วยผ่าตัดได้แม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งถือเป็นเครื่องแรกในประเทศไทย
ข้อดีของเครื่องโออาร์ม คือ เป็นเครื่องที่สามารถเข็นไปในห้องผ่าตัดคร่อมตัวคนไข้เพื่อถ่ายภาพในท่านอนท่าไหนก็ได้ ซึ่งในสมัยก่อนการถ่ายรูปในห้องเอกซเรย์จะให้นอนหงายและเมื่อผ่าตัดก็จะให้นอนคว่ำ ซึ่งไม่ดีต่อกระดูกของคนไข้ นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายรูปได้หลายรูปและหลายมุม ทั้งด้านบน ด้านล่าง และด้านข้าง รวมทั้งสามารถถ่ายรูปได้ 600 รูป ภายในเวลา 10 วินาที ทำให้ได้รูปมากและมีข้อมูลดี ซึ่งสามารถนำภาพนี้มาแสดงเป็นภาพสามมิติ ถือเป็นการช่วยในการผ่าตัดได้แม่นยำยิ่งขึ้น
นอกจากนี้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ฯ ยังสามารถสร้างภาพแบบสามมิติบันทึกภาพในขณะผ่าตัดกระดูกสันหลังจริงขณะที่ผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียงผ่าตัด ซึ่งเป็นภาพที่ชัดเจนและแสดงตำแหน่งของกระดูกสันหลังอย่างละเอียดและแปลงภาพออกมาในรูปแบบแอนิเมชั่นสามมิติ โดยขณะแพทย์เคลื่อนไหวเครื่องมือขณะผ่าตัดจะมองเห็นการทำงานในขั้นตอนที่สำคัญ เช่น การใส่โลหะในกระดูกสันหลัง ทำให้แพทย์สามารถผ่าตัดได้ตรงจุดจากภาพจริงไม่ต้องคาดคะเนแล้ว อีกทั้งยังสามารถผ่าแผลขนาดเล็กได้มากขึ้น ที่สำคัญยังทำให้แพทย์กำหนดตำแหน่งที่ปลอดภัยในการวางเครื่องมือต่าง ๆ ได้ด้วยความแม่นยำสูงแม้ว่ากระดูกสันหลังจะผิดรูปก็ตาม
โดยเครื่องฉายรังสีแบบสามมิตินี้จะใช้ร่วมกับสเต็ลท์ เพื่อนำข้อมูลจากภาพสามมิติที่ได้มา ช่วยศัลยแพทย์ในการประเมินระยะที่สามารถเข้าถึงบริเวณที่ต้องการผ่าตัดได้แม่นยำ และรวดเร็ว โดยไม่ต้องเปิดแผลใหญ่ ที่สำคัญเป็นผลดี ต่อบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย เนื่องจากได้รับรังสีน้อย เครื่องมือนี้จะช่วยให้แพทย์กำหนดจุดต่าง ๆ ในกระดูกสันหลังได้มากถึงระดับเศษส่วนของมิลลิเมตรทำให้สามารถวางโลหะช่วยเชื่อมกระดูกได้แม่นยำ นอกจากนี้ เครื่องมือทั้ง 2 ยังสามารถใช้งานร่วมกับกล้องจุลทรรศน์ที่ใช้ในการผ่าตัดจุดศัลยกรรมในสมอง ทำให้ศัลยแพทย์สามารถกำหนดตำแหน่งเนื้องอกในสมองหรือจุดต่าง ๆ ในสมองได้และใช้เวลาไม่มาก ซึ่งในอนาคตจะมีการศึกษาเพื่อนำไปใช้ในการผ่าตัดสมองด้วย
ถึงแม้ว่าวันนี้สถาบันฯจะมีเทคโนโลยีมาช่วยในการรักษาโรคทางกระดูกสันหลังแล้วก็ตาม แต่การรักษาที่ดีที่สุดคือ การดูแลและป้องกันร่างกายของตัวเราเองให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอด้วยการหมั่นตรวจเช็กสุขภาพร่างกายเป็นประจำ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงอิริยาบถที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูก
สนับสนุนข้อมูลโดย นพ. พุทธิพร เธียรประสิทธิ์
ขอบคุณบทความจาก : http://www.mtutd.tv/NewsDetail.asp?id=2363