นัดพบแพทย์

'จับตา ความดันโลหิตสูง' มือมืดทำลายสุขภาพ

16 Sep 2016 เปิดอ่าน 1467

แม้ค่าความดันโลหิตจะสูงอย่างมาก แต่กลับ ไม่มีอาการแสดง ทำให้โรคความดันโลหิตสูงถือเป็น "ภัยเงียบ" ผู้ป่วยจำเป็นต้องควบคุมความดันโลหิตให้ได้ ล่าสุดความก้าวหน้าทางการแพทย์พัฒนาวิธีรักษาด้วยการจี้ระบบประสาทอัตโนมัติในกลุ่มผู้ป่วย ที่ควบคุมระดับความดันโลหิตยาก

   ความดันโลหิตสูง (Hypertension) จัดอยู่ในกลุ่มของโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่ถือเป็นโรคเรื้อรัง และส่งผลเสียต่อร่างกายโดยตรง เนื่องจากความดันโลหิตที่สูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรงต่ออวัยวะสำคัญ ต่างๆ ของร่างกาย อย่างที่หลายคนนึกไปไม่ถึง
 
          พญ.ปิยนาฏ ปรียานนท์ อายุรแพทย์ หัวใจและหลอดเลือด สถาบันหัวใจ เพอร์เฟคฮาร์ท โรงพยาบาลปิยะเวท อธิบายว่า สาเหตุของความดันโลหิตสูง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ความดันโลหิตสูงปฐมภูมิ หรือความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุ (Essential Hypertension) ปัจจุบันทราบสาเหตุแล้วว่าเป็นผลจากความไม่สมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติและฮอร์โมน ที่ควบคุมการหดตัว หรือการขยายของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย ซึ่งเป็นวงจรที่เกี่ยวเนื่องกันโดยตรง ระหว่างการสั่งการจากสมอง ประสาท ไขสันหลัง หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไตทั้งสองข้าง รวมทั้งหน่วยไตที่อยู่ในเนื้อไต และความดันโลหิตสูงที่เป็นผลจากภาวะโรคใดโรคหนึ่ง หรือความดันโลหิตสูง ทุติยภูมิ (Secondary Hypertension) เช่น ภาวะไทรอยด์ เป็นพิษ ไตวายเรื้อรัง หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไตตีบ หรืออุดตัน เนื้องอกของต่อมหมวกไต เป็นต้น
 
          "ความดันโลหิตสูงปฐมภูมินั้น ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้เหมือนความดันโลหิตสูงทุติยภูมิที่หากรักษาโรคต้นตอก็จะ หายตาม ในขณะเดียวกันก็ต้องควบคุมความดัน ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ปรับพฤติกรรม ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคหรือภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง" พญ.ปิยนาฏ อธิบาย
          แนวทางการรักษาความดันโลหิตสูง อายุรแพทย์หัวใจและหลอดเลือด สถาบัน หัวใจเพอร์เฟคฮาร์ทกล่าวว่า เริ่มจากการ ปรับเปลี่ยนแนวทางการดำรงชีวิต เช่น ลดการบริโภคเกลือ และอาหารที่มีรสเค็มจัด เลิกสูบบุหรี่ ออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก ฯลฯ และหากมีความดัน โลหิตสูงที่เป็นผลจาก ภาวะโรคใดโรคหนึ่ง (ความดันโลหิตสูงทุติยภูมิ) ให้การรักษาตามสาเหตุนั้น
 
          หากควบคุมไม่ได้ด้วยการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำรงชีวิตดังกล่าว อาจต้องรับประทานยา ชนิดของยา และ ปริมาณยาที่ต้อง รับประทานเพื่อควบคุม ความดันโลหิตให้ อยู่ในเกณฑ์ปกติ แตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละรายหรือในกรณีที่ผู้ป่วยปรับเปลี่ยน แนวทางการดำรงชีวิตอย่างเต็มที่ และรับประทานยาในชนิด และปริมาณที่มากแล้ว แต่ยังควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการรักษาด้วยการจี้ระบบประสาทอัตโนมัติ เมื่อมีข้อบ่งชี้ นั่นคือ เป็นผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 80 ปีที่มีความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ แม้จะได้รับยาลดความดันโลหิตสูงมากกว่า 3 ชนิด โดยที่หนึ่งชนิดในนั้นเป็นยาขับปัสสาวะ และได้รับยา ดังกล่าวมาเป็นเวลา 3 เดือน ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ชีวิตที่เหมาะสมแล้ว
 
          การรักษาความดันโลหิตสูงที่ควบคุมยากด้วยการจี้ระบบประสาทอัตโนมัติ (Renal Denervation Therapy) เป็นการใช้ความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุ จี้ทำลายร่างแห เส้นประสาทอัตโนมัติที่อยู่ในผนังของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไตทั้งสองข้าง โดยใช้อุปกรณ์พิเศษสำหรับการจี้ โดยเฉพาะ สอดผ่านหลอดเลือดแดงจากขาหนีบ ย้อนขึ้นไปถึงหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไต ซึ่งเป็นแขนงของหลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องท้อง
 
          พญ.ปิยนาฏ อธิบายเพิ่มว่า หัตถการดังกล่าว ทำในห้องตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือด (Cardiac Catheterization Laboratory) ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะพักฟื้นเพื่อสังเกตอาการในแผนกผู้ป่วยวิกฤติประมาณ 6 ชั่วโมง ก่อนย้ายไปพักที่หอผู้ป่วย และสามารถกลับบ้านได้ภายใน 1-2 วัน
          ทั้งนี้ การจี้ระบบประสาทอัตโนมัติเพื่อการรักษาความดันโลหิตสูงที่ควบคุมยาก ไม่สามารถใช้ได้กับกลุ่มผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจากสาเหตุอื่น เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ, โรคเนื้องอกของต่อมหมวกไต, หลอดเลือดแดงเออร์ต้าตีบ เป็นต้น รวมถึงคนที่เคยได้รับการทำบอลลูนใส่ขดลวดเพื่อขยายหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไตมาก่อน, ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง และผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์
 
          "การรักษาด้วยการจี้ระบบประสาทอัตโนมัติ สามารถควบคุมความดันให้เข้าสู่เกณฑ์ปกติ ผู้ป่วยทานยา น้อยลงหรืออาจไม่จำเป็นต้องทานยาควบคุมความดันอีก สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น"พญ.ปิยนาฏ กล่าวในที่สุด
 
* ขอบคุณข้อมูลจาก : http://healthinfo.in.th/hiso5/healthy/news.php?names=07&news_id=4846