ฮือฮา !!ไม่น้อย เมื่อทีมนักวิจัยไทย ไล่ตามเทคโนโลยีการแพทย์ใหม่ ที่เรียกว่า iPS (induced Pluripotent Stem cells) หรือ การรีโปรแกรมเซลล์ปกติให้กลับไปสู่จุดเริ่มต้นหรือเซลล์ตัวอ่อนได้สำเร็จ เพราะนั่นหมายถึงกุญแจในการพัฒนาการรักษาแนวใหม่ได้ในอนาคต
ก่อนจะทำความเข้าใจ iPS คืออะไร.... ลองตรวจสอบลำดับการแข่งขัน เทคโนโลยี iPS จากทั่วโลก พบว่าหลังจากในปี พ.ศ. 2549 คณะวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการรีโปรแกรมเซลล์ปกติของ ร่างกายให้ย้อนกลับไปเป็นเอ็มบริโอนิค ปี 2550 สหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยสเปน อังกฤษ เยอรมัน สำหรับในทวีปเอเชียก็มี จีน อิหร่าน และ สิงคโปร์ การที่ทีมวิจัยจากประเทศต่างๆเร่งสร้างไอพีเอส ก็เพราะรู้ดีว่าเทคโนโลยีนี้คือความหวังในอนาคตของสเต็มเซลล์และการรักษาในยุคถัดไป
แน่นอนว่าทีมนักวิจัยไทย นำโดย นพ.กฤษณพงศ์ มโนธรรม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคไตและเซลล์วิทยา โรงพยาบาลเลิดสิน พร้อมด้วยทีมนักวิจัยจากโรงพยาบาลเลิดสิน ภายใต้การผลักดันของ นพ.อนันต์ เสรฐภักดี ผู้อำนวยการโรงพยาบาล สร้าง iPS จากสเต็มเซลล์รากฟันและเซลล์ไขมันของอาสาสมัคร กลับไปสู่เซลล์ต้นกำเนิด หรือเซลล์ตัวอ่อนได้สำเร็จ
นพ.กฤษณพงศ์ เล่าว่า ทีมวิจัยเริ่มเห็นวี่แววของความสำเร็จตั้งแต่ปลายปี 2552 ภายหลังความพยายามกว่า 1 ปีในการวิจัย ใน และทีมวิจัยได้ใช้เวลาอีก 7 เดือนที่ผ่านมาทดสอบยืนยันผล สร้างไอพีเอสได้มากกว่า 1,000 โคโลนี รวมถึงทดลองซ้ำกว่า 80 รอบ ผลสำเร็จที่คงที่สม่ำเสมอเป็นที่น่าพอใจ และไอพีเอส ที่ได้ผ่านการทดสอบขั้นสูงสุดโดยสามารถพัฒนาไปเป็นเนื้อเยื่อมนุษย์ทุกชนิดในหนูทดลองได้
ส่วนกระบวนการสร้าง ไอพีเอส นั้น นพ. กฤษณพงศ์ บอกว่า หลักการง่ายๆ คือ ความสามารถเปลี่ยนเซลล์อะไรก็ได้ของร่างกายให้ย้อนกลับไปเป็น ไอพีเอส หรือเซลล์ต้นกำเนิด หรือเรียกว่าเป็นการรีโปรแกรมเซลล์ใหม่ไม่ต่างจากการหมุนนาฬิกาย้อนกลับเพื่อย้อนเวลากลับไปสู่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
แม้ว่า ไอพีเอสจะเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่ วงการแพทย์ตั้งความหวังว่าจะเอามาใช้ในการรักษาได้มากที่สุดในปัจจุบัน แต่เชื่อว่าการทดลองไอพีเอสเริ่มต้นจาก คำถามของนักวิจัย ที่เพียงแค่อยากรู้ว่าเราสามารถหมุนนาฬิกากลับไปได้หรือไม่เท่านั้นไม่ได้เริ่มต้นจากความหวังที่ว่าจะพัฒนาแนวทางการรักษาแบบใหม่
ที่สุด เขาก็ค้นพบ นาฬิกาสามารถหมุนย้อนกลับได้ ด้วยการรีโปรแกรมเซลล์ปกติของ ร่างกายให้ย้อนกลับไปเป็นเอ็มบริโอนิค สเต็มเซลล์ (เซลล์ต้นกำเนิด) โดยใส่ยีนสำคัญ 4 ชนิดเข้าพร้อมกัน ได้แก่ Klf4, oct4, Sox2 และ C-Myc และเรียกเซลล์ใหม่นี้ว่า iPS (induced Pluripotent Stem cells)
" ปัจจัยควบคุมมี 2 ปัจจัยในสัดส่วนที่พอดีมาก คือ การทำงานของยีนสองตัว oct4, Sox2 เป็นตัวควบคุม ส่วนตัวอื่นเป็นตัวเสริม สองตัวนี้คือตัวหลักในการหมุนนาฬิกากลับ และต้องใช้กุญแจสองดอกเสียบพร้อมกัน ไขพร้อมกัน ไม่ใช่ดอกใดดอกหนึ่งไม่สามารถทำให้เกิดการย้อนกลับของเข็มนาฬิกาได้" นพ.กฤษณพงศ์ บอกว่ากระบวนการย้อนกลับของเข็มนาฬิกาของเซลล์นั้น เพราะสามารถล้างความจำได้ว่า เขาเคยเป็นเซลล์อะไรอยู่ กลับไปสู่วันที่มันเป็นเซลล์เริ่มต้นที่สามารถพัฒนาเป็นเซลล์อะไรก็ได้
หากเปรียบเทียบให้ชัดมากขึ้น กระบวนการ ไอพีเอส ไม่ต่างจาก การกลิ้งก้อนหินที่ตกลงมาอยู่เชิงเขากลับขึ้นไป การโคลนนิงแกะดอลลี คือ การกลิ้งกลับไปสู่จุดสูงสุด ไปเป็นเซลล์บนยอดเขาใหม่ แต่กระบวนการ ไอพีเอส ย้อนกลับไปข้างบนเกือบๆ ถึงยอดเขา แม้ไม่ได้ขึ้นไปบนเขาสูงสุดซึ่งจะเกิดเป็นชีวิตใหม่ แต่มีศักยภาพ พัฒนาเป็นอวัยวะอื่นได้ทุกชนิดเช่นกัน ไอพีเอสจึงดีกว่าสเต็มเซลล์ที่ได้จากการโคลนนิ่งตรงที่ไม่มีปัญหาเรื่องจริยธรรมและความเข้ากันได้กับร่างกายเพราะเป็นเซลล์ของตัวเองทั้งหมด"
คงต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาวงการวิจัยสเต็มเซลล์ ถูกตั้งคำถามถึงจริยธรรมในการวิจัย จากการนำเอาเซลล์ตัวอ่อนหรือ "เอ็มบริโอนิค สเต็มเซลล์" (Embryonic stem cells) ที่ได้จากการปฏิสนธิที่เกิดเป็นชีวิต แม้จะสามารถเปลี่ยนมันไปเป็นอวัยวะต่างๆ ได้ แต่การนำมาใช้เป็นการทำลายตัวอ่อนซึ่งนับเป็นหนึ่งชีวิต และกลายประเด็น ทางศีลธรรม
กระบวนการสร้างไอพีเอส ตัดปัญหาด้านจริยธรรม เพราะไม่ได้พัฒนาจากเซลล์ตัวอ่อนที่เป็น "เอ็มบริโอนิค สเต็มเซลล์" หากพัฒนาจาก "โซมาติก สเต็มเซลล์" (somatic stem cells) เป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่ได้จากเซลล์เนื้อเยื่อที่โตเต็ม วัยแล้ว หรือเซลล์ในร่างกายมนุษย์ เข้าสู่กระบวนการรีโปรแกรมเพื่อให้เป็นเซลล์ตัวอ่อน ด้วยการล้างความจำจาก การควบคุมของยีนสองตัว oct4, Sox2 กลับไปสู่สเต็มเซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถพัฒนาเป็นอวัยวะต่างๆ ได้ โดยไม่มีปัญหาจริยธรรม
การไล่ตามเทคโนโลยี ไอพีเอสเป็นเพียงกุญแจที่จะนำไปสู่การพัฒนาในการรักษาโรคได้ ซึ่งหากสามารถทำได้จะถือเป็นการเปลี่ยนแนวทางการรักษาโรคอย่างสิ้นเชิง
นพ.กฤษณพงศ์ ระบุว่า ทีมวิจัยของเขาไม่ได้ทำ ไอพีเอสอย่างเดียว แต่กำลังทำการปรับแต่งยีนบางอย่างพร้อมๆ กับเทคโนโลยี ไอพีเอส และพัฒนาไปสู่กระบวนการที่ปลอดภัยสำหรับการใช้มากขึ้น ในอนาคตเราหวังว่าจะแก้ไขโรคจากความผิดปกติของยีน
" สมมติว่ามีคนไข้ที่มีปัญหาเรื่องความผิดปกติของยีนเช่นโรคธาลัสซีเมีย เราอาจเอาสเต็มเซลล์ไขมันของเขาออกมาเลี้ยงและแก้ไขความผิดปกติของยีนในเซลล์ไขมันก่อน หลังจากนั้น เลือกสเต็มเซลล์ที่เปลี่ยนยีน ให้ปกติแล้ว ไปสู่กระบวนการหมุนนาฬิกากลับเป็นไอพีเอส และเปลี่ยนจาก ไอพีเอส มาเป็นเซลล์เม็ดเลือดเพื่อในการรักษาโรคได้"
นพ.กฤษณพงศ์ ย้ำอีกว่า หากถ้าทำได้ก่อนปลายปีนี้น่าจะมีเฮ เพราะว่านั่นเท่ากับว่าสามารถเปลี่ยนคอนเซปต์การรักษาโรคเป็นแนวใหม่ได้ จากเดิมที่เราจะต้องใช้ยาในการรักษา แบบประคับประคอง แต่นี้จะเข้าไปสู่การแก้ไขสิ่งที่ผิดปกติตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางยีนมีจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น โรคธาลัสซีเมีย โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือโรคพาร์กินสัน
" ถ้าทำสำเร็จ คงยังไม่เอาไปฉีดในคนเลย แต่จะเป็นการแสดงให้เห็นว่ามันสามารถเปลี่ยนแนวทางการรักษาอย่างไร การแก้ไขโดยฉีดยีนโดยตรงแบบเดิมทำไม่ได้ง่ายนักและควบคุมลำบาก แต่การแก้ไขในระดับเซลล์ ไอพีเอสทำได้ไม่ยากแก้ไขได้แล้วนำกลับไปเป็นเซลล์ร่างกายของเราก็จะเป็นความหวังได้"
ความหวังในการรักษาด้วยการเปลี่ยนแปลง ยีนบกพร่อง ซึ่งนั่นหมายถึง การพลิกแนวทางการรักษาแบบใหม่สำหรับโรคบกพร่องทางยีน เหลืออีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นที่จะสำเร็จ หากทีมวิจัยไทย สามารถนำเซลล์ที่แก้ไขยีนแล้วกลิ้งกลับไปยังยอดของภูเขาได้อีกครั้ง เท่ากับเราสามารถเปิดประตูการรักษาแบบใหม่ได้
การแก้ไขการรักษาโรคบกพร่องทางยีนด้วยวิธีนี้ยังไม่เกิดขึ้นทั้งในไทย ส่วนในต่างประเทศมีเพียงรายงานชิ้นเดียวเท่านั้นที่ระบุแนวทางการรักษาด้วยวิธีนี้แต่ยังไม่สำเร็จ จึงได้แต่หวังว่านักวิจัยไทยทีมนี้จะสามารถพัฒนาการรักษาด้วยแนวทางนี้ได้สำเร็จ ด้วยการหมุนนาฬิกาย้อนกลับไปแก้ไขความบกพร่องทางยีนเพื่อเปิดแนวทางการรักษาแบบใหม่ในอนาคต
ขอบคุณบทความจาก : http://www.hiso.or.th/hiso/ghealth/newsx1786.php