นัดพบแพทย์

ผู้สูงวัย เสี่ยง ! โรคหัวใจ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

16 Sep 2016 เปิดอ่าน 1408

          สิ่งที่ลูกหลานควรเอาใจใส่ดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุในบ้านคือเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งโรคหัวใจและหลอดเลือด ก็เป็นปัญหาสำคัญของกลุ่มผู้สูงวัย โดยส่วนใหญ่มักจะเจอความผิดปกติของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ จากการตรวจสุขภาพประจำปีโดยไม่เคยมีอาการแสดงมาก่อน แต่บางรายไม่เคยตรวจหาความผิดปกติ จนกระทั่งเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ภาวะหัวใจล้มเหลวอันเกิดจากไขมันและหินปูนเกาะสะสมตามทางเดินหลอดเลือดจนตีบหรืออุดตันได้

 ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน มักจะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุมากกว่าวัยอื่นๆ โดยจะพบว่ามีอัตราการเกิดโรคหัวใจสูงขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น (ผู้ชายอายุน้อยกว่า 55 ปี, ผู้หญิงอายุน้อยกว่า 65 ปี, มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันมาก่อน หรือสตรีวัยหมดประจำเดือน ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้สูงกว่าวัยอื่นๆ สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้นั้น จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการหนาตัวของผนังหลอดเลือดซึ่งอาจจะเป็นผลจากมีไขมันไปเกาะหรือมีพังผืดอันเป็นผลมาจากความเสื่อมหรือมีปัจจัยอื่นๆ ไปกระตุ้นให้เกิดภาวะหนาตัวขึ้น ทำให้เลือดไหลผ่านไม่สะดวกเป็นผลให้หัวใจขาดเลือดได้ ปัจจัยที่ว่านี้ ได้แก่ โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, โรคอ้วน, ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย, สูบบุหรี่, ไขมันในเลือดผิดปกติ และความเครียด 

 อาการของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบนั้น มักจะมีอาการเจ็บหน้าอกตรงบริเวณเหนือลิ้นปี่ขึ้นมาเล็กน้อย เจ็บแน่นๆ บริเวณหน้าอกเหมือนมีอะไรมาบีบรัด หรือมีของหนักๆ มาทับอกอยู่ อาจมีอาการร้าวไปที่บริเวณไหล่ซ้ายและแขนซ้าย หรือร้าวไปที่กรามทั้ง 2 ข้าง และมักจะเป็นเมื่อออกกำลังกายหรือใช้แรงงานหนักๆ เพราะช่วงนั้นหัวใจจะต้องการเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น แต่เลือดไปเลี้ยงไม่ได้เพราะว่ามีหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบอยู่ อาการที่เป็นอยู่จะต้องนานเป็นนาทีขึ้นไป

 การรักษาโรคหัวใจทำได้หลายวิธี ถ้าผู้ป่วยมีอาการน้อยและหลอดเลือดตีบไม่มากก็สามารถรักษาด้วยยาได้ โดยที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องช่วยด้วยการปรับปรุงพฤติกรรมประจำวัน คือ งดบุหรี่ ลดอาหารมัน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมระดับน้ำตาล (ถ้าเป็นเบาหวาน) ระดับคอเลสเตอรอล และความดันโลหิต แต่ถ้ามีอาการหรือตีบมากก็อาจรักษาด้วยวิธีอื่นๆ โดยการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจแบบไม่ต้องผ่าตัดมีดังนี้ การทำบอลลูนขยายหลอดเลือด 

ความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหารุนแรงมีเพียง 1 ใน 1,000 - 1 ใน 2,000 ราย ปัจจุบันนี้เป็นการทำหัตถการแบบผู้ป่วยนอก คือ มาเช้ากลับเย็น หรือแค่พัก 1 คืนในโรงพยาบาล ไม่มีแผลผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นอีกเป็นเดือน ในการทำผ่าตัดพบว่า มีปัญหาตีบตันของหลอดเลือดใหม่อีกได้ คือ ในสิบปีถ้าใช้หลอดเลือดดำที่ขามาต่อ อาจพบว่าผู้ป่วยกว่าครึ่งที่จะมีปัญหาตีบตันของหลอดเลือดอีก แต่หลอดเลือดแดงจากที่แขน หรือหลอดเลือดที่ทรวงอกก็มีอัตราการตีบของเส้นเลือดที่ผ่าตัด จะมีเพียงร้อยละ 10-20 โดยที่โอกาสตีบ-ตันของหลอดเลือดที่ผ่าตัดภายใน 1 ปีจะมีประมาณร้อยละ 2-5 อัตราการตีบซ้ำหรือตีบกลับคืน แต่สำหรับผู้ป่วยที่ทำบอลลูนจะพบการตีบซ้ำได้ประมาณร้อยละ 20-30 ถ้าใส่ขดลวดร่วมด้วยแล้ว การตีบจะลดลงเหลือประมาณร้อยละ 10 แต่ถ้าใช้ขดลวดแบบเคลือบยา ซึ่งเป็นวิวัฒนาการใหม่แล้ว การตีบซ้ำจะเหลือเพียงร้อยละ 2-5 หรือต่ำกว่า และมักทราบภายใน 1 ปี

   ปัจจุบันมีการนำขดลวดเคลือบยามาใช้รักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมากขึ้น โดยรักษาการตีบแบบหลายจุด และหลายเส้นได้ ซึ่งได้ผลดีใกล้เคียงกับการผ่าตัดบายพาสซึ่งเป็นทางเลือกแก่ผู้ป่วยที่ไม่ต้องการผ่าตัด ผู้ป่วยไม่ต้องพักฟื้นนาน ไม่ต้องเจ็บตัวหลังผ่าตัด ไม่เสี่ยงต่อการเกิดอัมพาตหรืออัมพฤกษ์มากเท่ากับการผ่าตัด ลดอัตราเสี่ยงจากการผ่าตัดได้มาก และล่าสุดมีการศึกษาจากต่างประเทศที่เรียกว่า "อาร์ท 2 (ARTS II) เปรียบเทียบการรักษาด้านการผ่าตัดกับการใช้ขดลวดเคลือบยาในผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจตีบหลายๆ เส้น (ซึ่งเดิมต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น) เกือบพันรายพบว่า ผลการรักษาทั้งสองวิธีให้ผลดีเหมือนกันทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้นการใช้ขดลวดเคลือบยาจึงเป็นทางเลือกอีกวิธีหนึ่งสำหรับคนไข้ที่มีหลอดเลือดตีบหลายเส้นที่ไม่ต้องการเสี่ยงจากการผ่าตัด

ผู้สูงวัยควรดูแลสุขภาพตนเองให้ห่างไกลจากกโรคหัวใจได้ด้วยการออกกำลังกาย และควรเลือกรับประทานอาหารที่ไม่มีคอเลสเตอรอลสูง หมั่นตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อการป้องกันและรักษาได้อย่างทันท่วงที  สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว การออกกำลังกายของผู้ป่วยโรคหัวใจ นอกจากช่วยให้ร่างกายโดยรวมแข็งแรงแล้ว ยังพบว่าสามารถลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ด้วย ควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 20 นาที  ควรเป็นการออกกำลังกายแบบเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายตลอดเวลา เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ เป็นต้น  
 
นพ.ดำรงค์ สุกิจปัญญาโรจน์   
 
* ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.komchadluek.net/news/unclecham/204960