ทำไมข้อเข่าเสื่อมถึงเป็นปัญหาสำคัญ
ข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี แต่จริง ๆ แล้วสามารถเกิดได้ทุกวัย หากมีการใช้งานข้อเข่าหนักเกินไปหรือมีอุบัติเหตุในอดีต หลายคนเข้าใจผิดว่า “ปวดเข่า” คือเรื่องธรรมชาติของการแก่ แต่แท้จริงแล้วอาการนี้สามารถรักษาได้ และหากตรวจพบเร็วก็มีโอกาสชะลอหรือรักษาให้อาการดีขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
ในบทความนี้ เราจะพามา “ถอดรหัส” อาการข้อเข่าเสื่อมในแต่ละระยะ เพื่อให้คุณสามารถสังเกตตัวเองหรือคนที่คุณรักได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
✅ อาการข้อเข่าเสื่อมแบ่งเป็นกี่ระยะ?
แพทย์มักแบ่งระดับของข้อเข่าเสื่อมออกเป็น 4 ระยะ (บางงานวิจัยใช้ 5 ระยะ แต่ในทางปฏิบัติ 4 ระยะเป็นที่เข้าใจง่ายกว่า) โดยแต่ละระยะมีลักษณะและอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้:
ระยะที่ 1: เริ่มต้น (Early stage)
• อาจยังไม่ค่อยมีอาการชัดเจน
• มีเสียง “กร๊อบแกร๊บ” หรือ “ลั่นเข่า” เวลาเดินหรือลุกนั่ง
• อาจปวดเล็กน้อยหลังใช้งาน เช่น เดินขึ้นบันไดหรือนั่งยอง ๆ
• ภาพเอกซเรย์อาจยังไม่เห็นความผิดปกติชัด แต่ผิวกระดูกอ่อนเริ่มบางลง
สิ่งที่ควรทำ:
• ปรับพฤติกรรม: ลดการนั่งยอง ๆ นั่งพับเพียบ
• เริ่มออกกำลังกายเสริมกล้ามเนื้อรอบเข่า เช่น leg raise, ปั่นจักรยานเบา ๆ
• ลดน้ำหนักถ้าเกินเกณฑ์
ระยะที่ 2: ปานกลาง (Mild to Moderate stage)
• ปวดเข่าชัดขึ้น โดยเฉพาะเวลาเดินนาน ๆ
• เริ่มมีอาการ “ข้อเข่าฝืด” ตอนเช้า หรือเวลานั่งนานแล้วลุกขึ้น
• อาจบวมเป็น ๆ หาย ๆ โดยเฉพาะหลังใช้งานหนัก
• ภาพเอกซเรย์เริ่มเห็นช่องข้อแคบลงเล็กน้อย
สิ่งที่ควรทำ:
• ทำกายภาพบำบัด เช่น ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ, ฝึกเดินที่ถูกวิธี
• อาจใช้ยาลดอาการอักเสบตามคำแนะนำแพทย์
• พิจารณาการฉีดยาหล่อเลี้ยงข้อเข่า (Hyaluronic acid) เพื่อช่วยให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
ระยะที่ 3: รุนแรง (Severe stage)
• ปวดแทบทุกวัน ปวดแม้ขณะพัก
• เดินได้ไม่กี่ร้อยเมตรต้องหยุดเพราะปวด
• ข้อเข่าโก่งผิดรูป เริ่มเห็นชัด
• ข้อเข่าฝืด งอเหยียดลำบาก
• ภาพเอกซเรย์เห็นกระดูกแทบจะชนกัน
สิ่งที่ควรทำ:
• รักษาแบบไม่ผ่าตัดอาจได้ผลน้อยลง
• อาจต้องพิจารณาการฉีดยา, การส่องกล้อง หรือการผ่าตัดบางรูปแบบ
• เริ่มปรึกษาศัลยแพทย์กระดูกและข้อเพื่อวางแผนรักษาที่เหมาะสม
ระยะที่ 4: รุนแรงมาก (End stage)
• ปวดมากแม้ขณะนั่งหรือนอน
• เดินลำบาก ต้องใช้ไม้เท้าหรือรถเข็น
• ข้อเข่าโก่งหรือบิดเบี้ยวชัดเจน
• ภาพเอกซเรย์เห็นกระดูกเสียดสีกันโดยตรง
สิ่งที่ควรทำ:
• การรักษาแบบไม่ผ่าตัดมักไม่ได้ผลแล้ว
• การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Total Knee Replacement) เป็นทางเลือกหลัก
• ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ เช่น “หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด” ทำให้แม่นยำและฟื้นตัวไวขึ้น
✅ ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น
• อายุ: ยิ่งมาก โอกาสเสื่อมยิ่งสูง
• น้ำหนักเกิน: น้ำหนักทุก 1 กก. กดลงเข่า ~3–4 กก.
• อุบัติเหตุ: กระดูกหักรอบเข่า หรือเอ็นฉีก
• กรรมพันธุ์: ครอบครัวมีประวัติข้อเข่าเสื่อม
• ใช้งานหนัก: อาชีพที่ต้องนั่งยอง ๆ นาน ๆ เช่น เกษตรกร, พนักงานโรงงาน
✅ วิธีสังเกตตัวเองเบื้องต้น
• ปวดเข่าเวลาเดินขึ้นลงบันได?
• มีเสียงดังในเข่า?
• นั่งกับพื้นลุกลำบาก?
• เข่าบวมบ่อย ๆ?
ถ้ามีอาการเหล่านี้เกิน 2–3 ข้อ แนะนำเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม
✅ แนวทางการรักษาข้อเข่าเสื่อมในแต่ละระยะ
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
• กายภาพบำบัด
• ควบคุมน้ำหนัก
• รับประทานยาลดอักเสบ
• ฉีดยาหล่อเลี้ยงข้อเข่า (Hyaluronic / PRP)
การรักษาแบบผ่าตัด
• ส่องกล้องล้างข้อ (ในบางราย)
• ผ่าตัดเปลี่ยนแนวกระดูก (Osteotomy)
• ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (TKA)
• ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด → ฟื้นตัวไว เจ็บน้อย
✅คำถามที่พบบ่อย
Q: ปวดเข่า = ข้อเข่าเสื่อมเสมอไปไหม?
A: ไม่เสมอไป ต้องตรวจแยกโรค เช่น เอ็นอักเสบ, หมอนรองกระดูกเข่าฉีก
Q: ข้อเข่าเสื่อมหายขาดได้ไหม?
A: ไม่หายขาด แต่รักษาได้หลายวิธีเพื่อให้ใช้งานได้ใกล้เคียงปกติที่สุด
Q: ต้องผ่าตัดทุกคนหรือไม่?
A: ไม่จำเป็น การผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้ที่รักษาแบบอื่นแล้วไม่ได้ผล
สรุป
ข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่หากสังเกตอาการและเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยชะลอการเสื่อมและลดความทุกข์ทรมานได้มาก การรู้จัก “อาการในแต่ละระยะ” จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้คุณดูแลสุขภาพเข่าได้อย่างถูกต้อง