นัดพบแพทย์

เตรียมตัว! เมื่อส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหาร

13 Sep 2016 เปิดอ่าน 1554

 “ใครที่มีปัญหาความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ที่ต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีส่องกล้อง”
       
       
หลายคนอาจเกิดคำถามขึ้นในใจว่าจะเจ็บหรือไม่ ใช้เวลานานไหม และจะต้องเตรียมตัวอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์ต่อการตรวจมากที่สุด จะเล่าให้ฟังครับ การเตรียมตัวก่อนและหลังการส่องกล้อง แบ่งได้ 2 แบบ คือ

1. การตรวจระบบทางเดินอาหารส่วนบน (Gastroscopy) จะตรวจตั้งแต่หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น ผู้ป่วยจะต้องงดน้ำและอาหารทุกชนิดอย่างน้อย 6 ชั่วโมง หรือตั้งแต่เที่ยงคืนวันก่อนตรวจ
       
       เมื่อมาถึงห้องตรวจ แพทย์จะอธิบายข้อบ่งชี้ แผนการตรวจรักษาและภาวะแทรกซ้อน จากนั้นพยาบาลจะพ่นยาชาเข้าไปในบริเวณคอของผู้ป่วย 2-3 ครั้ง ผู้ป่วยจะรู้สึกคอหนาขึ้น หลังจากผู้ป่วยนอนตะแคงซ้ายบนเตียงตรวจ แพทย์จะใส่กล้อง ซึ่งมีลักษณะคล้ายสายยางสีดำขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยเข้าไปในลำคอผ่านไปในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น แพทย์อาจสะกิดชิ้นเนื้อออกมาตรวจหาพยาธิสภาพหรือแบคทีเรีย ซึ่งผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บ โดยปกติการตรวจแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ขณะทำการตรวจผู้ป่วยควรหายใจลึกๆ ช้าๆ เพื่อลดอาการคลื่นไส้ ในรายที่มีอาการคลื่นไส้มาก แพทย์อาจฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีอาการสะสึมสะลือได้ชั่วคราว
       ภายหลังการตรวจ แพทย์จะบอกผลการตรวจ อธิบายแผนการรักษาและนัดติดตามผล ผู้ป่วยจะนั่งพักประมาณ ?-1 ชั่วโมง จนอาการรู้สึกคอหนาดีขึ้น ก็สามารถกลับไปทำงานและกินอาหารได้ตามปกติ


       2.การตรวจลำไส้ใหญ่ หรือระบบทางเดินอาหารส่วนล่าง (Colonoscopy) จะตรวจตั้งแต่ปากทวารหนัก ลำไส้ใหญ่ทั้งหมด และบางครั้งรวมถึงลำไส้เล็กส่วนปลายด้วย ซึ่งมีความยาวทั้งหมดประมาณ 1 เมตร ผู้ป่วยควรกินอาหารที่มีกากน้อยก่อนทำการตรวจ 1 วัน เช่น น้ำซุป โจ๊กเหลวๆ ในตอนเย็นวันก่อนตรวจแพทย์จะให้ยาระบาย ผู้ป่วยควรกินยาให้หมดหรือจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกมาเป็นน้ำใสๆ เพื่อไม่ให้มีอุจจาระตกค้าง และบังผนังลำไส้ขณะตรวจ บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนขณะที่กินยาระบาย ซึ่งอาจแก้ไขให้ดีขึ้นโดยการผสมน้ำหวานในยาระบายแล้วดื่มช้าๆ และต้องงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6 ชั่วโมง หรือตั้งแต่เที่ยงคืนวันก่อนตรวจ

 

อ.นพ.สุพจน์ นิ่มอนงค์

* ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www2.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000037569