นัดพบแพทย์

เรื่องหญิงๆ ที่ผู้หญิงควรระวัง

10 Apr 2017 เปิดอ่าน 613

ถ้าเป็นเรื่องผู้หญิงแล้วล่ะก็ มีหลายเรื่องที่ต้องเล่าสู่กันฟัง วันนี้เราเอาเรื่องใกล้ตัวที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงค่ะ นั่นคือเรื่อง มะเร็งปากมดลูกค่ะ ท่านผู้อ่านที่รักทราบไหมคะว่าจากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับสองของมะเร็งในสตรีไทยรองจากมะเร็งเต้านมเลยล่ะค่ะ โดยมีอัตราอุบัติการณ์ปรับมาตรฐานตามอายุ (age-standardized incidence rate : ASR)ประมาณ 18.6 รายต่อประชากรสตรี 100,000 คนต่อปี นับว่าไม่น้อยทีเดียว

อาจารย์ยุทธศิลป์ เลื่อมประภัศร์ ผู้อำนวยการ ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาล สมิติเวช ศรีราชา ฝากเตือนท่านผู้อ่านไอเกิลที่รักทุกท่านว่า อุบัติการณ์ของมะเร็งปากมดลูกจะลดลงได้ถ้ามีการดำเนินการตรวจคัดกรองอย่างมีระบบ โดยใช้วิธีตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิผล ซึ่งจะทำให้คุณผู้หญิงทุกคนมีโอกาสได้ตรวจและได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูก

อาจารย์ยุทธศิลป์ เล่าให้เราฟังเกี่ยวกับอาการเริ่มต้นของมะเร็งปากมดลูกว่า“เนื่องจากการเกิดมะเร็งปากมดลูก มีการดำเนินโรคก่อนการเป็นมะเร็งค่อนข้างนาน ทำให้คนไข้ที่มีความผิดปกติที่ปากมดลูกมีโอกาสได้รับการรักษาก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูก ดังนั้นอาการเริ่มต้นจึงไม่มี แต่เมื่อไรก็ตามที่คนไข้ท่านนั้นมีอาการผิดปกติแล้ว นั่นหมายความว่าอาจเป็นมะเร็งปากมดลูกแล้วก็ได้” 

อาการของมะเร็งปากมดลูก

1. ตกขาว มีกลิ่นเหม็น

2.เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดที่ไม่ใช่ประจำเดือน

3.อาการปวดหลัง ปวดกระดูกในอุ้งเชิงกราน

4. ปัสสาวะ อุจจาระเป็นเลือด

อาจารย์ยุทธศิลป์ อธิบายเพิ่มเติมว่า “อาการในข้อ 3 และ 4 จะพบในผู้ป่วยมะเร็งระยะที่ 4 ซึ่งจะเห็นได้ว่าเมื่อปล่อยให้มีอาการแล้ว ระยะของโรคอาจจะมากกว่าระยะที่ 1 หรือ 2” อาจารย์จึงอยากให้คุณผู้หญิงได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ตามคำแนะนำจากสูตินรีแพทย์สัมพันธ์ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ซึ่งนับว่าเป็นการตรวจแบบมาตรฐานเลยทีเดียว

1. การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยเซลล์วิทยา ควรเริ่มเมื่ออายุ 25 ปี ในผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์ และ 30 ปี สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากในประเทศไทยมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า 25 ปี พบได้น้อยมาก(น้อยกว่า ร้อยละ 0.5)

2. ผู้ที่มีอายุ 25-65 ปี ควรตรวจคัดกรองทุก 2 ปี ส่วนการตรวจภายในเพื่อตรวจหาโรคอื่นๆ ของอวัยวะสืบพันธุ์ ควรทำเป็นประจำทุกปี

3. ผู้ที่มีอายุ มากกว่า 30 ปี ที่เคยตรวจคัดกรองไม่พบเซลล์ผิดปกติ ติดต่อกัน 3 ครั้งและไม่เคยมีประวัติได้รับการรักษารอยโรคก่อนมะเร็ง หรือมะเร็งปากมดลูก และไม่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ให้ทำการตรวจซํ้าได้ทุก 3-5 ปี

4. ถ้าตรวจคัดกรองด้วยเซลวิทยาร่วมกับ HPV DNA test ควรทำในผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปีโดยถ้าผลตรวจไม่พบเชื้อ HPV และเซลล์มะเร็งทั้ง 2 วิธี ควรตรวจซํ้าทุก 3 ปี

5. ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน HPV vaccine ควรได้รับการตรวจคัดกรองเช่นเดียวกับสตรีทั่วไป

6. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องควรตรวจคัดกรองทุก 6 เดือนในปีแรกหลังวินิจฉัยโรคภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หลังจากนั้นจึงตรวจปีละ 1 ครั้งตลอดไป

7. ผู้ที่เคยได้รับการรักษารอยโรคก่อนเป็นมะเร็ง หรือเคยเป็นมะเร็งปากมดลูกยังคงมีความเสี่ยงต่อการคงอยู่หรือกลับเป็นซํ้าของโรค จึงควรได้รับการตรวจติดตามด้วยความถี่ตามคำแนะนำ

อาจารย์ยุทธศิลป์ ให้กำลังใจผู้ที่เข้าข่ายเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกว่า ในกรณีที่ผลการตรวจพบเซลล์ผิดปกติ ควรสังเกตอาการตัวเองอย่างใกล้ชิดและปฎิบัติตามขั้นตอนดังนี้

1. ตรวจติดตามอีก 3 ถึง 6 เดือน เนื่องจากภาวะเซลล์ผิดปกตินั้น ถ้าไม่รุนแรง หรือพบเซลล์มะเร็งนั้น ร่างกายสามารถกำจัดเซลล์ผิดปกตินั้นได้

2. ตรวจเพิ่มเติมด้วยการส่องกล้อง colposcope และตัดชิ้นเนื้อที่ปากมดลูก เพื่อทำการวินิจฉัยว่าเป็นอะไร

3. ตรวจหาไวรัส HPV ในกรณีที่ยังไม่ตรวจ เพื่อตรวจหาความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูก

โอย….ฟังเพลินๆ อยู่ดีๆ ต้องมีการส่องกล้องและตัดชิ้นเนื้อด้วย แล้วจะเจ็บมั้ยนี่ อาจารย์ยุทธศิลป์ ยืนยันว่าเหมือนโดนหยิกเดียวเท่านั้น แต่การตรวจด้วย คอลโปสโคป (colposcope) จะให้ประโยชน์มากในการตรวจหารอยโรคหรือความผิดปกติที่ปากมดลูก

“กล้อง colposcope นี้จะมีกำลังขยาย 6 ถึง 40 เท่าเพื่อดูการติดสีที่ผิดปกติขอบและความคมชัดของรอยโรค เส้นเลือดที่ผิดปกติ ซึ่งจะช่วยกำหนดตำแหน่งที่แพทย์จะตัดชิ้นเนื้อเพื่อทำการตรวจหาภาวะความผิดปกติของปากมดลูก ซึ่งเมื่อได้ตัดชิ้นเนื้อตรวจและได้ผลชิ้นเนื้อแล้วจึงจะสามารถทำการรักษาผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำสำหรับการรักษาภาวะผิดปกติก่อนการเป็นมะเร็งปากมดลูกนั้นประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้

 1. การตรวจติดตาม ในกรณี รอยโรคเป็นไม่มาก และไม่รุนแรง

2. การจี้ความเย็น

3. การตัดชิ้นเนื้อที่ปากมดลูกด้วยลวดไฟฟ้า

4. การตัดมดลูกในกรณี สตรีมีบุตรเพียงพอแล้ว หรืออยู่ในช่วงใกล้หมดประจำเดือน

อาจารย์ยุทธศิลป์ฝากทิ้งท้ายเป็นกำลังใจให้ทุกท่านว่า “ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาภาวะผิดปกติก่อนการเป็นมะเร็งของปากมดลูกนั้น จะหายจากภาวะผิดปกติ และไม่เป็นมะเร็งปากมดลูก แต่ต้องมีการตรวจติดตามอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วสำหรับมะเร็งปากมดลูกนั้นเป็นโรคที่ป้องกันได้ แต่ต้องใส่ใจตนเอง พาตัวมาตรวจภายในและเช็คมะเร็งปากมดลูก ซึ่งความเชื่อเก่าๆ หรือความกลัว เช่นกลัวว่าตรวจแล้วจะเจอ คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ให้เป็นแบบนี้ คือ เจอก่อนหายก่อนสบายก่อน และหมดกังวลก่อน