นัดพบแพทย์

เรื่องไม่เบาของคนเป็นเบาหวาน

23 Sep 2016 เปิดอ่าน 1467

  ปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ส่วนใหญ่มักจะละเลยเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย การนอน การทำงาน ทำให้ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายทำให้เกิดโรคต่างๆ สูงขึ้น และค่อยๆ สะสม เพิ่มทวีคูน ซึ่งจากสถิติพบว่าคนไทยส่วนใหญ่ป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และสูงเป็นอันดับ 1 เลยคือ โรคเบาหวาน อีกทั้งยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นที่น่าสังเกตว่าสัดส่วนของผู้ป่วยโรคเบาหวานจะเพิ่มสูงขึ้นพอๆ กับภาวะโรคอ้วนลงพุง และยังมีแนวโน้มพบมากในเด็กอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปเนื่องจากเด็กไทยเผชิญความอ้วน ซึ่งคนส่วนใหญ่จะป่วยเป็นโรคนี้แบบไม่รู้ตัว แล้วมักจะปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา รู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อผ่านมาสักระยะแล้ว โรคเบาหวานจึงเป็นอีกหนึ่งภัยเงียบของคนไทย ที่เราไม่ควรเบาใจหรือมองข้ามมันไปได้เลย
 
                              โรคเบาหวานเป็นภัยเงียบที่กำลังคุกคามคนไทย ซึ่งสาเหตุของโรคเกิดจากภาวะที่มีความผิดปกติของการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน หรือความผิดปกติของการทำงานของอินซูลิน อันส่งผลกระทบทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) หากร่างกายต้องเผชิญกับภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งในระยะเฉียบพลัน (acute) และระยะเรื้อรัง (chronic) ตามมาได้ บุคคลที่มีปัจจัยเสี่ยงคือกลุ่มผู้ที่อายุเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะมากกว่า 40 ปี จะเริ่มมีภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มมากขึ้น จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้ง่าย ดังนั้นจึงแนะนำให้ตรวจคัดกรองระดับน้ำตาลในเลือดผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปแม้ว่าจะไม่มีอาการหรือไม่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวานก็ตามเพื่อให้การรักษาได้อย่างมีประสิทธิผล และลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนในอนาคตได้ดีขึ้น และนอกจากนี้ได้มีการแนะนำให้ตรวจคัดกรองระดับน้ำตาลในเลือดในกลุ่มบุคคลที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปีแต่มีปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้
 
                              - ภาวะอ้วนหรืออ้วนลงพุง มีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 25 กก./ตร.ม., เส้นรอบเอว มากกว่า 90 ซม.ในชาย หรือ 80 ซม.ในหญิง
 
                              - มีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน
 
                              - มีประวัติการเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือคลอดบุตรน้ำหนักแรกคลอดมากกว่า 4 กก.
 
                              - ความดันโลหิตสูงกว่า หรือเท่ากับ 140/90 มม.ปรอท
 
                              - มีไขมันความหนาแน่นสูง (HDL: ไขมันดี) น้อยกว่าหรือเท่ากับ 35 มก./ดล. หรือไขมันไตรกลีเซอไรด์ มากกว่าหรือเท่ากับ 250 ก./ดล.
 
                              - ตรวจพบมีความผิดปกติของน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานกลูโคส (OGTT) หรือมีระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารสูงกว่าปกติ (FBS > 100 - 125 มก./ดล.)
 
                              - มีประวัติเป็นถุงน้ำที่รังไข่จำนวนมาก (Polycystic ovarian syndrome)
 
                              - มีประวัติหรือเป็นโรคหลอดเลือดแดงตีบ 
 
 
 
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน 
 
 
                              โรคเบาหวานทำให้เกิดความพิการจากการผิดปกติของอวัยวะต่างๆ หรืออาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอันส่งผลต่อการเกิดอันตรายต่อชีวิตได้ ภาวะแทรกซ้อนสามารถแบ่งเป็น 2 ชนิดหลัก คือ
 
                              1. โรคแทรกซ้อนเฉียบพลัน หากร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากประกอบกับภาวะขาดน้ำ (จากระดับน้ำตาลในเลือดสูง) จะทำให้เกิดภาวะหมดสติ ภาวะเลือดเป็นกรดได้ ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 อาจมาด้วยอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องและท้องอืดหมดสติได้ หรือในผู้ป่วยเบาหวานอาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
 
                              2. โรคแทรกซ้อนชนิดเรื้อรัง อาจก่อให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็ก เช่น ไต ตา เส้นประสาท และหลอดเลือดขนาดใหญ่ อย่างหัวใจ สมอง ได้โอกาสเกิดตาบอดมากกว่าคนปกติ 25 เท่า ไตวาย 20 เท่า หลอดเลือดหัวใจตีบ 2-4 เท่า อัมพาต 5 เท่า
 
                              การควบคุมอาหาร เพื่อควบคุมความสมดุลระหว่างภาวะโภชนาการกับน้ำหนักตัวให้เป็นไปตามที่ต้องการ หากผู้ป่วยมีน้ำหนักมากควรควบคุมปริมาณพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน โดยการจำกัดพลังงานที่ได้มาจากโปรตีนร้อยละ 10-20 ของพลังงานทั้งหมด และพลังงานจากไขมันให้น้อยกว่าร้อยละ 30 ของพลังงานทั้งหมด (น้อยกว่าร้อยละ 10 ของไขมันอิ่มตัว) ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ที่จะช่วยในควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น โดยช่วยในการเพิ่มระดับความไวของอินซูลินซึ่งช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด อีกทั้งยังทำให้ระดับไขมันอยู่ในเกณฑ์ปกติได้ดีด้วย
 
                              ในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ควรรับประทานยา หรือฉีดอินซูลินอย่างสม่ำเสมอ โดยถูกเวลาและขนาดที่แพทย์แนะนำ รวมทั้งควรมีการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน โดยการตรวจสุขภาพเป็นประจำ และมีการควบคุมไขมันในเลือด ความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
 
พญ. วชรพรรณ อัสนุเมธ
 
* ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.komchadluek.net/news/unclecham/196221