นัดพบแพทย์

เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ “โง่” ทักษะสังคม!

22 Feb 2017 เปิดอ่าน 1231

กล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ทุกวันนี้ เลวร้ายลงไปทุกขณะ สังคมกำลังเหวอะหวะในหลายๆ รูปแบบ ทั้งความรุนแรง และความป่าเถื่อนที่ยังคงมีบางกลุ่มเลือกใช้หมัด หรือกำปั้นห้ำหั่นกันมากกว่าที่จะแลกหมัดทางความคิด เห็นได้จากกรณีของ อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ถูกชายสองคนทำร้ายร่างกายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงอาการป่วยไข้เรื้อรังของสังคมไทยได้เป็นอย่างดี
       
       ในประเด็นนี้ พญ.เสาวภา พรจินดารักษ์ กุมารแพทย์พัฒนาการ และพฤติกรรม โรงพยาบาลบีเอ็นเอช ให้ความเห็นว่า ผู้ใหญ่ควรตื่นตัว และหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างความฉลาดทางสังคมให้แก่เด็ก เพราะความฉลาดทางด้านนี้เชื่อมโยงไปถึงการมีสติปัญญาที่ดีในการคิดวิเคราะห์ด้วยว่าพฤติกรรมแบบไหนที่ควรแสดงออก หรือไม่แสดงออกต่อผู้อื่น รวมถึงพัฒนาการทางภาษาที่มีศิลปะ รู้จักสื่อสารทั้งภาษาพูด และภาษากาย เพื่อใช้ในการปรับตัวโดยไม่ทำร้ายความรู้สึก หรือคุณค่าในตัวผู้อื่น
       
       “สังคมทุกวันนี้คนฉลาด หรือไอคิวดีมีอยู่มาก แต่ยังขาดคนที่มีความฉลาดทางสังคม ขาดคนที่มีคุณธรรมจริยธรรม หากยังขาดมากขึ้น อาจส่งผลให้คนตระหนักรู้ในตัวตนน้อยลง มีความจริงใจน้อยลง เห็นอกเห็นใจกันน้อยลง รับฟังความคิดเห็นกันน้อยลง นี่คือ สิ่งที่พ่อแม่ยุคใหม่ควรให้ความสำคัญ และหันมาช่วยกันเลี้ยงลูกให้รู้จักอยู่ในสังคม เช่น สอนให้ลูกเห็นว่า ถ้าทำแบบนี้ คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร เป็นการสอนให้ลูกรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น” กุมารแพทย์พัฒนาการ และพฤติกรรมท่านนี้เผย
       
       สอดรับกับ Sue Palmer ผู้เขียนหนังสือ “Detoxing Childhood” (ฉลาดเลี้ยงลูกเท่าทันพิษภัยยุคไฮสปีด) บอกไว้ว่า บุคคลสำคัญที่จะสร้างสรรค์สังคมที่ดีไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่คือพ่อแม่นั่นเอง พ่อแม่อาจจะเป็นเพียงคนกลุ่มเดียวที่ช่วยเหลือสังคมให้รอดพ้นจากอาการเจ็บป่วยนี้ได้ คนเป็นพ่อแม่จึงต้องมีเป้าหมายสำหรับอนาคตที่แท้จริงและชัดเจน และการทำหน้าที่ของพ่อแม่จึงไม่ใช่เน้นเฉพาะลูกตัวเอง และเรื่องที่อยู่รอบตัวลูก แต่สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ คือ มองออกไปข้างหน้า และมองเป็นมุมกว้างเพื่อจะได้เห็นโลกที่อยู่รอบตัวของลูก ตลอดจนมองเห็นถึงอนาคตว่าเด็ก ๆ ในรุ่นต่อไปนั้นจะเติบโตและใช้ชีวิตกันอย่างไร นี่คือหัวใจหลักในการเลี้ยงลูก

สำหรับตัวอย่างดีๆ ที่พ่อแม่สามารถแสดงออกได้ ได้แก่ ไม่ทะเลาะกันให้ลูกเห็น หรือเวลาขับรถ มีคนปาดหน้า พ่อไม่บ่น แม่ไม่พูดคำหยาบ หรือโวยวาย นอกจากนี้ การทำให้เด็กเชื่อมั่นว่า ถ้าเขาเกิดปัญหา หรือมีเรื่องราวไม่ดีในชีวิตขึ้นมา เขายังมีพ่อแม่ที่รับฟัง และให้คำปรึกษาที่ไม่ใส่อารมณ์กับเขา ไม่ซ้ำเติมเขา สิ่งเหล่านี้จะทำให้เด็กมีความมั่นคงทางจิตใจ ไม่ระเบิดใส่ใครง่ายๆ
       
       ความสำคัญดังกล่าว ปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งแวดล้อมในครอบครัวคือหัวใจสำคัญ เด็กๆ เรียนรู้วิธีสร้างความสัมพันธ์จากการเฝ้าดูคนรอบข้างปฏิบัติต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นวิธีที่พ่อปฏิบัติกับแม่ คนในครอบครัวปฏิบัติต่อกัน หรือวิธีที่แต่ละคนปฏิบัติต่อตัวเด็กเอง เด็กจะซึมซับและนำวิธีการเหล่านี้ไปลองมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ถ้าเลี้ยงลูกให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และให้โอกาสลูกได้เรียนรู้ความสนุกสนานที่เกิดจากการเล่นกับเพื่อน ลูกก็จะสามารถเข้าสังคม อยู่ร่วมกับคนอื่น และรู้จักสร้างมิตรภาพที่แท้จริงขึ้นมาได้

   5 เทคนิคสร้างลูกฉลาดเข้าสังคม
       
       เมื่อรู้ถึงปัญหา และความสำคัญในการปลูกฝังทักษะการเข้าสังคมให้แก่ลูกในข้างต้นแล้ว ทีนี้ลองมาดูกันว่า คุณพ่อคุณแม่พอจะมีวิธีสร้างลูกให้มีความฉลาดในการเข้าสังคมอย่างไรได้บ้าง เริ่มจาก
       
       - เล่นบทบาทสมมติ ลองเล่นบทบาทสมมติกับลูกดูว่า ถ้าลูกต้องเจอสถานการณ์แบบนั้นแบบนี้ในสังคม หรือในการพบปะสมาคมกับคนแล้ว เขาควรจะทำตัวอย่างไร พูดจาอย่างไร เป็นการฝึกปรับตัวอยู่ในสังคมอย่างราบรื่น
       
       - ฝึกให้ลูกอดทน เด็กชอบแสดงออกอาจมีเสน่ห์เสียจนได้รับความสนใจ ได้รับโอกาสมากกว่าเด็กคนอื่น ซึ่งอาจกลายเป็นดาบสองคมที่หันมาทำร้ายลูกรักของคุณได้ ทางที่ดี ควรสร้างเสริมให้ลูกรู้จักเสียสละ ไม่แสดงความชื่นชมลูกมากเกินไปหรือทับถมคนอื่น และสอนลูกให้มองถึงข้อดีของคนอื่นด้วย
       
       - ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้ พยายามสอนให้ลูกรู้จักยิ้มทักทายคนแปลกหน้าก่อน เพราะมิตรภาพใหม่ๆ ที่จะงอกเงยขึ้นมาได้นั้น มาจากรอยยิ้มพิมพ์ใจนั่นเอง
       
       - นึกถึงใจเขาใจเรา พยายามสอนให้ลูกรู้จักเห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ สอนลูกว่า ลูกไม่ชอบให้คนอื่นทำกับเราอย่างไร คนอื่นก็ไม่อยากให้ลูกทำกับเขาอย่างนั่นเช่นกัน
       
       - ฝึกให้ฟังคนอื่นบ้าง เด็กช่างพูดช่างคุยมักจะรู้ตัวว่าสามารถเป็นจุดสนใจของใครๆ ได้ ยิ่งเรียกร้องความสนใจได้มากเท่าไร เขาจะยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้นเท่านั้น แต่บางครั้งอาจนึกเลยไปว่า ตัวเขาเองเก่งกว่าคนอื่น ฉลาดกว่าคนอื่น ซึ่งอาจพัฒนาไปสู่การเป็นคนไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นต่อไปได้ ในจุดนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นให้มากขึ้นกว่าเดิม สอนให้ลูกรู้จักเปิดโอกาสให้คนอื่นได้พูด หรือแสดงความคิดเห็นบ้าง