โรคระบบทางเดินอาหารในเด็ก เป็นโรคที่ไม่อันตราย แต่ก็สร้างความไม่สบายตัวให้เด็กและคุณพ่อคุณแม่ได้ไม่น้อย สาเหตุมาจากสุขลักษณะในการใช้ชีวิตประจำวันเป็นหลัก เพราะโดยพื้นฐานของเด็กเป็นนักสำรวจ หยิบจับอะไรได้ก็เข้าปาก จึงทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย โรคระบบทางเดินอาหารในเด็กส่วนใหญ่จึงมาจากการติดเชื้อทางปาก โดยน้ำลายเป็นตัวนำเชื้อโรคเป็นส่วนใหญ่นั่นเอง มารู้จักปัญหาด้านนี้กันดีกว่า
1 ไวรัสลงกระเพาะ
เนื่องจากเริ่มมีพัฒนาการในการหยิบ จับ และนำสิ่งต่างๆ เข้าปาก อมมือ อมของเล่น ยิ่งเด็กในช่วงวัยเรียน ที่ต้องอยู่ร่วมกันในชั้นเรียน ใช้ของเล่นร่วมกับเพื่อนๆ เมื่อเด็กคนหนึ่งเล่นแล้วนำเข้าปาก ทำให้ของเล่นเปียกน้ำลาย คนที่หยิบไปเล่นต่อก็อาจจะนำไปเข้าปากอีก หรือมือเปียกน้ำลายก็ไปหยิบนู่น หยิบนี่ บ้างก็เอามือป้ายพื้นบ้าง เปียกปอนกันไปเป็นทอดๆ จึงทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่าย แต่เป็นโรคที่ไม่อันตราย
ควรหมั่นดูแลเรื่องความสะอาดของเด็ก ล้างมือให้เด็กบ่อยๆ ก็จะช่วยลดการเกิดโรคได้มาก ยกเว้นในกรณีที่มีอาการอาเจียนมากกว่า 2-3 ครั้งต่อวัน ซึ่งจะทำให้เด็กมีภาวะขาดน้ำมาก ควรมาพบคุณหมอเพื่อตรวจรักษาต่อไป
อาการ เด็กๆ มักจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มีไข้ต่ำๆ เนื่องจากภาวะขาดน้ำ เสียกรด ทำให้อ่อนเพลีย ร้องไห้โยเย ส่วนมากเกิดได้กับเด็กวัยตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป
2 ท้องเสีย
เกิดจากเชื้อโรคเข้าไปในกระเพาะอาหาร และส่วนหนึ่งลงไปถึงลำไส้ใหญ่ อาการที่เรียกว่าท้องเสียคือ เด็กถ่ายเหลวเป็นจำนวน 3 ครั้งต่อวัน หรือถ่ายเป็นมูกปนเลือด 1 ครั้งต่อวัน อาการท้องเสียสามารถเกิดได้ทั้งจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย
อาการ เด็กมักมีไข้ต่ำๆ ถ่ายเป็นน้ำ ไม่ค่อยมีกลิ่น ไม่เพลีย ไม่ซึม แบบนี้ไม่น่าเป็นห่วง ยกเว้นเชื้อไวรัสโรต้า จะมีอาการถ่ายเป็นน้ำ 8-10 ครั้งต่อวัน ทำให้ร่างกายเสียน้ำเยอะ อ่อนเพลีย กรณีนี้ควรไปพบคุณหมอ ซึ่งอาจต้องให้เด็กนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล
ท้องเสียเชื้อไวรัสธรรมดานั้น คุณพ่อคุณแม่สามารถรักษาได้ตามอาการ คือให้ดื่มเกลือแร่ทดแทนภาวะขาดน้ำ โดยใช้ผงเกลือแร่สำเร็จรูป ชงในน้ำ 1 แก้ว แล้วค่อยๆ ใช้ช้อนตักป้อนทีละน้อย ให้หมดภายใน 3-4 ชม. แต่ไม่ควรให้เด็กดื่มเกลือแร่จากขวดนมหรือใช้หลอดดูด เพราะจะทำให้ร่างกายดูดซึมได้ไม่ดี ลำไส้ปรับสภาพไม่ทัน และเกลือแร่จะออกมากับปัสสาวะหมด สังเกตได้จากปัสสาวะของเด็กจะเป็นสีเหลืองเหมือนน้ำเกลือแร่
ส่วนอาการท้องเสียจากการติดเชื้อแบคทีเรีย จากเชื้อบิดหรือเชื้อไทฟอยด์ อาการของเด็กมักมีไข้สูง ถ่ายเป็นมูกและมีเลือดปน อาการปวดท้องแบบบิดๆ กรณีนี้ค่อนข้างเป็นอันตราย และไม่สามารถหายได้เอง จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะในการรักษา และรีบมาพบคุณหมอทันที
3 กรดไหลย้อน
เด็กๆ ก็สามารถเป็นกรดไหลย้อนได้เหมือนกัน จริงๆ แล้วกรดไหลย้อนสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงวัย แต่โดยพยาธิสภาพของเด็ก ถ้าเป็นในเด็กเล็ก จะเกิดจากหูรูดที่กั้นระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารของเด็กยังไม่แข็งแรง เหมือนก๊อกที่ปิดไม่ค่อยสนิท ทำให้ของเหลวในกระเพาะอาหารเอ่อท้นขึ้นมาที่หลอดอาหารได้ ทำให้หลอดอาหารระคายเคือง เป็นแผล ถลอก เด็กจึงไม่สบายตัว ไม่มีความสุข
อาการ คือร้องไห้โยเย ทำตัวบิดๆ หลังแอ่นๆ หน้าแดง กระสับกระส่าย ท้องอึด เมื่อกินนมไปแล้วประมาณครึ่งชั่วโมงจะแหวะออกมา และน้ำหนักตัวไม่ขึ้นหรือน้ำหนักขึ้นน้อย ซึ่งดูได้จากน้ำหนักที่เหมาะสมของแต่ละช่วงวัย
ภาวะกรดไหลย้อนไม่ใช่เรื่องอันตราย แต่ก็ควรมาปรึกษาคุณหมอเพื่อตรวจดูอย่างละเอียด และการรักษาที่ถูกต้อง เช่น ปรับเปลี่ยนวิธีการทาน เปลี่ยนสูตรของนมหรืออาหารให้หนืดขึ้น เพื่อให้จับตัวอยู่ในกระเพาะได้นานขึ้น ไม่เอ่อท้นขึ้นมาที่หลอดอาหาร ซึ่งแพทย์จะพิจารณาการรักษาเป็นรายๆ ไป
4 กลืนสิ่งแปลกปลอม
เด็กๆ มักมีการเล่นเหรียญหรือแบตเตอรี่ในของเล่น ถ้ามีขนาดใหญ่มากกว่า 3 เซนติเมตร มักติดในหลอดอาหารในเด็กเล็กได้ ในกรณีแบตเตอรี่จะกัดกร่อนเนื้อเยื่อกระเพาะอาหารทะลุได้หรือจะเป็นน้ำยาล้างห้องน้ำก็มีผลกัดกร่อนหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นสารอันตรายจึงควรเก็บให้พ้นมือเด็ก
การรักษาโรคระบบทางเดินอาหารในเด็ก คือการรักษาตามลักษณะอาการ สิ่งสำคัญคือ การป้องกันเพื่อให้เด็กห่างไกลจากเชื้อโรคมากกว่า พบว่าเด็กในช่วงวัยเรียน มักเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารได้บ่อย เนื่องจากต้องอยู่ร่วมกัน ใช้สิ่งของร่วมกัน เด็กควรมีขวดน้ำแยกเป็นของส่วนตัว คุณครูควรให้เด็กล้างมือบ่อยๆ ควรล้างทำความสะอาดของเล่นหรือของที่ต้องใช้ร่วมกันให้เด็กบ่อยๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างสุขลักษณะที่ดีให้กับเด็กและปลอดภัยจากโรคได้
ท้ายนี้ ฝากถึงน้องๆ และคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ควรเน้นเรื่องการดูแล การเลือกอาหารกันหน่อยว่า “อาหารนอกบ้าน มักมีสีสัน ล่อตา ล่อใจ แต่ก็ไม่ควรเผลอใจกินโดยไม่เลือก ควรกินอย่างมีสติ โดยใช้หลัก 3 อย่าง คือประโยชน์ ปลอดภัย และประหยัด ควรเลือกกินอาหารที่ได้สารครบทั้ง 5 หมู่ หากในวันนั้นไม่สามารถทำได้ ก็ต้องจัดสรรอาหารมื้อต่อๆ ไปให้ดี เลือกอาหารที่มีสีสันตามธรรมชาติ ไม่ฉูดฉาด เลือกร้านที่ปลอดแมลงวัน หลีกเลี่ยงอาหารที่ดูเกินจริง เช่น ลูกชิ้นลูกใหญ่มากๆ น้ำแข็งใสสีแดงแจ๊ดนั่นหมายถึงมีสารเจือปนอยู่มากมาย ซึ่งเด็กบางคนอาจแพ้สารเหล่านี้ได้ หากคุณพ่อคุณแม่สามารถทำอาหารง่ายๆ เช่น แซนวิสไข่ดาว เพื่อนำไปกินระหว่างวันด้วยก็จะยิ่งดี เพราะเราย่อมเลือกของที่ดีที่สุดให้กับลูกเสมอ
นอกจากประหยัดแล้วยังปลอดภัยและได้ประโยชน์แน่นอน ..และอย่าลืมตัดเล็บให้สั้น ล้างมือให้สะอาด ทุกครั้งก่อนทานอาหาร อาจพกเกลือแร่ติดบ้านไว้เป็นการช่วยเหลือลูกในเบื้องต้นด้วยก็ได้ สุดท้ายเพื่อความปลอดภัย ให้เก็บเหรียญ ของมีคม น้ำยาที่เป็นกรดด่าง ให้ห่างไกลจากเด็กกันด้วยค่ะ
บทความโดย : พญ. พัชรินทร์ อมรวิภาส กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล
ขอบคุณบทความจาก : http://www.motherandcare.in.th/content/issue/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81