นัดพบแพทย์

จะสูดหรือดูดก็เสี่ยงมะเร็งปอด

09 Sep 2016 เปิดอ่าน 1888

มะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยในอันดับต้น ๆ ของประชากรเกือบทุกประเทศทั่วโลก แม้ว่าอาจไม่ได้เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุด แต่มะเร็งปอดเป็นโรคมะเร็งที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากที่สุด ทั้งนี้ เนื่องมาจากการวินิจฉัยโรคนี้ในระยะแรกไม่สามารถทำได้ดี ส่วนใหญ่มักพบผู้ป่วยในระยะของโรคที่มากแล้ว สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคยังไม่ทราบแน่นอน แต่มีข้อมูลทางการวิจัย ว่า ความผิดปกติแรกเริ่มจะเกิดในระดับโครโมโซมของเซลล์ ซึ่งในเซลล์ที่เป็นปกติอยู่จะสามารถแก้ไขความผิดปกตินั้นได้เอง แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดความผิดปกติบ่อยครั้งขึ้น หรือเซลล์นั้นไม่สามารถแก้ไขความผิดปกติที่เกิดได้ก็จะทำให้เกิดเซลล์ที่ผิดปกติอย่างถาวร ซึ่งจะเจริญเติบโตแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด
       

  ต้องสูบบุหรี่เท่านั้นถึงจะเป็นมะเร็งจริงหรือไม่ ?
       ได้มีการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่า “การสูบบุหรี่” มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งปอดและสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังได้กล่าวแล้วมากที่สุด ซึ่งผู้ที่สูบบุหรี่จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 20 ถึง 30 เท่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนและระยะเวลาที่สูบบุหรี่

   แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ ผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ แต่จำเป็นต้องสูดควันบุหรี่จากผู้ที่อยู่ใกล้ชิด หรือในบริเวณอับที่มีควันบุหรี่อยู่ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดมากกว่าคนปกติถึง 1.2 ถึง 1.5 เท่า นอกจากนี้ ยังพบว่าการได้รับสารบางอย่างก็ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดได้ด้วย เช่น ควันรถ มลพิษในอากาศ สารแอสเบสตอส ซีลีเนียม
       
       อย่างไรก็ตาม พบว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยมะเร็งปอดจำนวนมากไม่เคยมีประวัติการสัมผัสสารต่าง ๆ เ หล่านี้เลย จึงทำให้วงการแพทย์หันมาค้นคว้าวิจัยหาคำตอบถึงความผิดปกติจากภายในยีนซึ่งกำลังเป็นที่สงสัยมากขึ้น และอาจมีสาเหตุมาจากสารอื่นๆ ที่เรายังไม่รู้จักก็เป็นได้
       
       รักษาได้หรือไม่
       ปัจจุบัน การรักษาโรคมะเร็งปอดมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ผู้ป่วยที่เป็นในระยะเริ่มแรกจะสามารถรับการรักษาจนหายขาดและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ก็ยังพบว่าปัญหาใหญ่ของการรักษาโรคนี้อยู่ที่ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมาพบแพทย์เมื่อเกิดการลุกลามและแพร่กระจายของเชื้อมะเร็งในร่างกายแล้ว นั่นเพราะหากป่วยในระยะเริ่มแรกมักจะไม่แสดงอาการ ผู้ป่วยจึงไม่รู้ตัวว่าเกิดความผิดปกติในร่างกาย

    วิทยาการความก้าวหน้าในการรักษาปัจจุบัน
       1.การวินิจฉัยในระยะแรกเริ่ม แม้ว่าการตรวจเอกซเรย์ปอดและการตรวจเสมหะเพื่อหาเซลล์มะเร็งเป็นประจำทุกปีในผู้ที่มีความเสี่ยงจะไม่สามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้ แต่ในผู้ป่วยที่ตรวจพบมะเร็งในระยะแรกเริ่มจะมีผลการรักษาที่ดีกว่า ดังนั้นในบางประเทศก็ยังแนะนำให้ใช้การตรวจชนิดนี้อยู่ นอกจากนี้ ยังมีความพยายามใช้การเอกซเรย์ที่มีความละเอียดสูงขึ้นร่วมกับการย้อมเสมหะด้วยวิธีพิเศษที่จะทำให้เห็นเซลล์ผิดปกติได้ง่ายขึ้นซึ่งแม้จะได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่ยังมีข้อจำกัดในการนำมาใช้กับประชากรทั่วไป
       
       2.การผ่าตัด นับเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน แต่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อระยะของมะเร็งนั้นเป็นไม่มาก และไม่มีการแพร่กระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือง ขั้วปอด หรือกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ...การพัฒนาเทคนิคของการผ่าตัดให้มีแผลผ่าตัดที่เล็กลงจากการการส่องกล้องและใช้การผ่าตัดแบบสงวนปอด ช่วยให้ผู้ป่วยทนต่อการผ่าตัดได้ดีขึ้นและสามารถฟื้นจากการผ่าตัดได้อย่างรวดเร็ว

    3.ยาเคมีบำบัด เป็นการรักษาที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งมีประโยชน์ทั้งเป็นการป้องกันการกลับเป็นใหม่และลดอาการที่เกิดจากโรค การค้นพบยาชนิดใหม่ๆ ที่มีผลข้างเคียงน้อยลงและได้ผลต่อโรคมากขึ้นและมียาบางชนิดสามารถให้ได้โดยการรับประทาน ทำให้ผู้ป่วยได้รับความสะดวกมากขึ้น
       
       4.การฉายรังสี ยังมีบทบาทสำคัญในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคนิคการฉายรังสีที่ทำให้ก้อนมะเร็งได้รับรังสีในขนาดที่สูงขึ้น โดยที่อวัยวะรอบข้างไม่ได้รับผลกระทบจากรังสีชนิดนั้นๆ ส่งผลให้การรักษาได้ผลดีขึ้น เพราะผู้ป่วยไม่มีอาการข้างเคียง
       
       5.การรักษาประคับประคอง เป็นวิธีที่พยายามช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตใกล้เคียงคนปกติที่สุด โดยอาศัยการควบคุมอาการต่างๆ ของโรค เช่น อาการเหนื่อย ไอ จนถึงขั้นไอเป็นเลือด ซึ่งทำได้โดยการดูแลสุขภาพพื้นฐานให้ดีที่สุด
       
       เนื่องจากการรักษาโรคมะเร็งปอดยังไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจนัก แม้จะมีวิทยาการการแพทย์ที่ก้าวหน้าในหลายๆ ด้าน ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุด คือ การป้องกันไม่ให้เกิดโรค ซึ่งการรณรงค์ลดการสูบบุหรี่น่าจะเป็นมาตรการที่ได้ผลดี
       
       อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะสามารถหยุดสูบบุหรี่ได้ แต่บุคคลกลุ่มนี้ก็ยังจะมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งปอดที่สูงอยู่ ซึ่งเป็นผลมาจากการสูบบุหรี่ในอดีต ดังนั้นการรณรงค์ให้มีการตรวจร่างกายเป็นประจำโดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงและผู้ที่มีอาการผิดปกติทางการหายใจ เช่น มีอาการไอเรื้อรัง ไอจนเป็นเลือด อาจทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งปอดในระยะต้นซึ่งจะทำให้ผลการรักษาดีขึ้น
       
       แม้ว่ามะเร็งปอดจะเป็นโรคที่ยังมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงอยู่ แต่เป็นที่คาดว่าด้วยความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ที่มากขึ้นของนักวิทยาศาสตร์และแพทย์ประกอบกับความตระหนักของสังคมในด้านการป้องกันและเฝ้าระวังโรค น่าจะทำให้อุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปอดลดลงในอนาคต

 

ผศ.นพ.แจ่มศักดิ์ ไชยคุนา

* ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000062216