นัดพบแพทย์

น้ำตาของลูกมาจากไหน

13 Dec 2016 เปิดอ่าน 2339

  มีปัญหาอยากถามคุณหมอค่ะ ลูกดิฉันอายุ 3 สัปดาห์ 2 วัน สังเกตว่าเขามักมีน้ำตาไหลเอ่อออกมาบ่อยๆ ปกติถ้าปล่อยไว้จะหายได้เองหรือเปล่าคะ หรือเป็นอันตรายต่อตาของเขาได้ และเวลาตื่นนอนลูกจะมีขี้ตามากด้วย ขอคำตอบด้วยค่ะ


“ภาวะดังกล่าว เป็นอาการอย่างหนึ่งที่พบได้ในเด็กทารกค่ะ เรียกว่า ‘ท่อน้ำตาตัน’ ซึ่งตรงขอบตา บริเวณหัวตาของเด็ก จะมีรูเปิดเล็กๆ อยู่ เรียกว่า ‘รูท่อน้ำตา’ ทารกที่เกิดใหม่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์จะพบอาการท่อน้ำตาตันได้ โดยอาจจะพบข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ และในบางรายอาจพบว่ามีการอักเสบ และมีขี้ตาแฉะร่วมด้วย หรือบางรายก็มีอาการตาแดง ส่วนสาเหตุนั้นก็เกิดจากการที่ท่อน้ำตาของเด็ก ที่ปกติจะเปิดเข้าสู่โพรงจมูกนั้นยังไม่เปิด เนื่องมาจากอายุวัยของเขายังเล็ก ทำให้น้ำตาที่สร้างโดยต่อมน้ำตาเกิดเอ่อล้นออกมาอย่างที่เห็น


...ปกติแล้ว อาการท่อน้ำตาตันในเด็กจะหายได้เอง ภายใน 2 - 3 เดือน ในบางรายที่ไม่มีอาการมาก และดูว่าทุเลาลง ก็อาจรอดูสักพัก ไม่ต้องรักษาก็ได้ หรือถ้ามีความกังวล ก็อาจพามาให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจดูอาการ เพราะในบางรายนั้นอาจมีการอักเสบร่วมด้วย ยิ่งถ้าอักเสบมาก มีการสะสมของขี้ตาและเชื้อโรค ก็อาจจะไปสร้างผลเสียต่อถุงน้ำตา ทำให้เกิดเป็นฝีบริเวณถุงน้ำตา ซึ่งก็เป็นอันตรายต่อตาของเด็กได้

..อย่างไรก็ดี การที่เด็กมีน้ำตาไหลเอ่อออกมา ก็อาจจะไม่ได้เกิดจากท่อน้ำตาตันก็ได้ อาจมีเศษผงหรือไปกระทบถูกอะไรที่ทำให้ระคายเคืองตา คุณแม่อาจลองใช้น้ำสะอาดล้างตาให้เขาดูก่อน ว่าอาการดีขึ้นหรือไม่ แต่ถ้าเห็นว่ามีอาการบ่อยครั้ง เป็นมาก หรือรุนแรงขึ้น ก็ควรพามาพบแพทย์ ให้ตรวจหาสาเหตุที่แน่นอนว่าเป็นท่อน้ำตาตันหรือไม่ หรือมีสาเหตุอื่น จะได้หาวิธีรักษาต่อไป ส่วนวิธีรักษาเคยได้ตอบไปทีแล้ว ซึ่งถ้าได้มาพบแพทย์ แพทย์ก็จะได้อธิบายให้เข้าใจเองค่ะ

...ส่วนคุณแม่ท่านนี้ ถ้าลูกยังมีอาการดังกล่าวอยู่ ก็ควรพาเขามาพบแพทย์ที่คุณแม่สามารถพาไปพบได้สะดวก ไม่ควรปล่อยไว้นาน เพราะอาจมีอันตรายดังที่กล่าวไป หรือแม้แต่ถ้าเขามีอาการดีขึ้นแล้ว เมื่อพามาตรวจสุขภาพ ก็ควรแจ้งคุณหมอด้วยว่าเขามีอาการเช่นนี้ เพื่อจะได้ตรวจอีกครั้งให้แน่ใจ เพราะการรักษา ควรทำก่อนเด็กมีอายุ 1 ปี เนื่องจากถ้าปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป กระดูกในโพรงจมูกของเด็กจะแข็งตัวขึ้น ทำให้การรักษายากขึ้น เพราะต้องใช้วิธีแยงท่อน้ำตา อย่างไรก็ขอให้คุณแม่ได้สังเกตด้วยค่ะ จะได้หาหนทางแก้ไขได้ทัน”

พ.ญ.ณัฐรินทร์ ภูษิตโภยไคย

* ขอบคุณบทความจาก : http://motherandchild.in.th/content/view/404/113/