นัดพบแพทย์

มะเร็งปากมดลูก...ภัยที่ป้องกันได้

22 Sep 2016 เปิดอ่าน 2037

จากสถานการณ์ของมะเร็งปากมดลูก ที่พบเป็นอันดับ 2 ของสตรีทั่วโลก รองจากมะเร็งเต้านม แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว พบมะเร็งชนิดนี้สูงเป็นอันดับ 1 ซึ่งในแต่ละปีมีการตรวจพบมะเร็งปากมดลูกรายใหม่กว่า 6,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ถึง 2,600 รายต่อปี กล่าวได้ว่า ทุกๆ วันจะมีสตรีไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปากมดลูกถึง 7 คน
       

       นับเป็นปัญหาสำคัญของสาธารณสุขไทย อย่างไรก็ตาม ยังมีข่าวดีให้ชื่นใจ ด้วยในระยะ 4-5 ปีมานี้ ได้มีการค้นพบสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก และสามารถผลิตวัคซีนป้องกันได้เป็นผลสำเร็จ ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแล้วว่า มะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (human papilloma virus หรือ HPV) ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดมาจากเพศสัมพันธ์ โดยการสัมผัสแล้วผิวหนัง หรือเยื่อบุของอวัยวะเพศ หรือปากมดลูกมีรอยถลอกหรือแผลที่ทำให้เชื้อเข้าไปได้ จากสถิติในปัจจุบัน พบว่า ผู้หญิงที่มีอายุน้อยที่สุดเป็นมะเร็งปากมดลูก อายุเพียง 10 กว่าปีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่โรคนี้มักพบในหญิงอายุประมาณ 40 ปี

เชื้อไวรัสชนิดนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มความเสี่ยงต่ำ ทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ และรอยโรคขั้นต่ำ ส่วนกลุ่มความเสี่ยงสูงเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อปากมดลูกจนกลายเป็นรอยโรคขั้นสูงและมะเร็งในที่สุด โดยกระบวนการเกิดมะเร็งปากมดลูกใช้เวลาเฉลี่ย 5 ขวบ – 15 ปี
       จากการศึกษาพบว่าสตรีที่ติดเชื้อไวรัสกลุ่มความเสี่ยงสูง มีโอกาสที่จะเกิดมะเร็งปากมดลูกสูงถึง 400 เท่า เมื่อเทียบกับสตรีที่ไม่พบการติดเชื้อดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อดังกล่าวอาจจะหายเองได้ด้วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ในกรณีที่การติดเชื้อยังคงอยู่ หรือฝังแน่นที่ปากมดลูกก็จะมีการพัฒนาไปเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ เนื่องจากโรคนี้มีระยะก่อนมะเร็งให้ตรวจพบได้ ดังนั้น การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ที่เรียกว่าการทำแป๊ปสเมียร์ (Pap smear) จะทำให้พบระยะก่อนมะเร็ง และมะเร็งระยะเริ่มแรก ช่วยให้สามารถรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้

 นอกจากการติดเชื้อเอชพีวีแล้ว ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่
       1.อายุ มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
       2.มีคู่นอนตั้งแต่อายุน้อยๆ หรือหลายคน ทำให้มีโอกาสได้รับเชื้อเอชพีวีมากขึ้น
       3.สูบบุหรี่จัด ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลงซึ่งรวมทั้งบริเวณปากมดลูกด้วย
       4.มีบุตรจำนวนมาก
       5.ร่างกายมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (โรคเอดส์)
       6.ไม่เคยตรวจภายใน
       สำหรับมะเร็งปากมดลูก ก็เช่นเดียวกับมะเร็งชนิดอื่นๆ คือ ไม่มีอาการแรกเริ่ม แต่เมื่อโรคลุกลามมากขึ้น จะมีอาการดังนี้
       
       -2-
       
1.เลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ สวนล้างช่องคลอด หรือตรวจภายใน
       2.เลือดออกทางช่องคลอดที่มิใช่รอบประจำเดือน หรือหลังจากหมดประจำเดือนไปนานแล้ว
       3.ตกขาวมากขึ้น มีกลิ่นเหม็น
       4.ปวดท้องน้อย หรืออุ้งเชิงกราน
       หากมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์ เพื่อตรวจหาความผิดปกติโดยเร็ว
       ปัจจุบันมีการผลิตวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกขึ้น เพื่อช่วยเหลือสตรีทั่วโลก แม้จะป้องกันไม่ 100% แต่ก็เป็นหนทางหนึ่งที่ดีสำหรับการป้องกันในขณะนี้วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก เป็นที่ทราบกันดีว่า มะเร็งปากมดลูกเกิดจากเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งในธรรมชาติมีอยู่กว่า 100 ชนิด แต่ที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกมีประมาณ 15 ชนิด โดยเชื้อเอชพีวี 16 และ 18 เป็นสาเหตุร้อยละ 70 ของมะเร็งปากมดลูก ที่เหลือร้อยละ 30 เกิดจากไวรัสเอชพีวีชนิดอื่นๆ และด้วยวิวัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีในปัจจุบัน สามารถสังเคราะห์ส่วนเปลือกของไวรัสเอชพีวีโดยที่ไม่มีส่วนแกนในซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค เปลือกของไวรัสถูกนำมาใช้ในการผลิตวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีซึ่งได้รับการยืนยันจากการศึกษาต่างๆ ในมนุษย์ว่า วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพสูงมากในการป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี และโรคที่เกี่ยวข้องกับเชื้อชนิดนี้

วัคซีนเอชพีวีในท้องตลาดปัจจุบันมีอยู่ 2 ชนิด จาก 2 บริษัท บริษัทแรกจะมีเชื้อเอชพีวี 16, 18 ส่วนอีกบริษัท มี 16, 18 และเพิ่มอีก 2 ตัว คือ 6, 11 ซึ่งสามารถป้องกันโรคหูดหงอนไก่ได้ กล่าวคือ เมื่อได้รับวัคซีนแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีที่อยู่ในวัคซีน ซึ่งสามารถป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ไปเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ร้อยละ 70 (เชื้อ HPV 16 และ 18 เป็นสาเหตุร้อยละ 70 ของมะเร็งปากมดลูก) มิใช่ร้อยละ 100 จึงต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกต่อไป สำหรับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับการฉีดวัคซีนอื่นๆ คือ อาการปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีดวัคซีน ส่วนอาการตามระบบ เช่น ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย หรือมีไข้ พบได้เล็กน้อย และไม่พบอาการรุนแรงที่เป็นอันตรายต่อชีวิต
       
       การฉีดวัคซีนเอชพีวี ควรฉีด 3 เข็ม โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เข็มที่สอง ห่างจากเข็มแรก 1-2 เดือน เข็มที่สาม ห่างจากเข็มแรก 6 เดือน ช่วงอายุที่แนะนำ คือ อายุระหว่าง 9 ขวบ - 26 ปี วัคซีนนี้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อฉีดในเด็กผู้หญิงหรือสตรีที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ สำหรับสตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว วัคซีนนี้จะมีประสิทธิภาพสูงเมื่อฉีดในสตรีที่ยังไม่มีการติดเชื้อเอชพีวี และไม่มีเซลล์ผิดปกติของปากมดลูก ประสิทธิภาพของวัคซีนจะลดต่ำลงถ้าฉีดในสตรีที่มีการติดเชื้อเอชพีวี หรือมีเซลล์ผิดปกติที่ปากมดลูกแล้ว ดังนั้น สตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้วและอยากฉีดวัคซีนควรปรึกษาแพทย์ และขอคำแนะนำเพื่อให้การฉีดวัคซีนนั้นได้ผลคุ้มค่ามากที่สุด สำหรับสตรีที่มีอายุมากกว่า 26 ปี ขณะนี้กำลังมีการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการฉีดวัคซีนในสตรีที่มีอายุมากจนถึงอายุ 55 ปี และในอนาคตอันใกล้นี้คงจะได้รับคำตอบว่า ควรจะขยายช่วงอายุของการฉีดวัคซีนในสตรีอายุมากหรือไม่

 -3-
       ด้วยเหตุนี้จึงมีคำถามที่มักได้ยินกันว่า
       “เชื้อเอชพีวีนี้สามารถติดต่อได้ตามห้องน้ำสาธารณะหรือไม่?”
       “สำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ มีลูกมานานแล้ว จะได้รับประโยชน์จากการฉีดไหม ?”
       และ “ราคาต่อเข็มเท่าไหร่?”
       คำถามเหล่านี้มีคำตอบครับ คำถามแรก โอกาสติดเชื้อมีน้อยมาก ส่วนข้อสอง ยังได้ประโยชน์ แต่ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจจะลดลง ถ้าสตรีผู้นั้นมีการติดเชื้อเอชพีวีหรือมีเซลล์ผิดปกติที่ปากมดลูกแล้ว และคำถามสุดท้ายที่หลายคนอยากรู้ ราคาต่อเข็ม ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาล ถ้าเป็นของรัฐจะถูกกว่าของเอกชน สนนราคาอยู่ที่ 4,000-5,000 บาท
       
       อย่างไรก็ตาม โรคมะเร็งปากมดลูก ยังเป็นอันตรายและศัตรูร้ายสำหรับคุณผู้หญิงทั่วโลก แต่ สามารถป้องกันหรือตัดไฟแต่ต้นลมได้ทันท่วงที โดยฉีดวัคซีนป้องกัน หรือตรวจภายในและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำทุกปี

รศ.นพ.มงคล เบญจาภิบาล สูตินรีแพทย์

* ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000015444