มนุษย์เรามีโรคร้ายแวะเวียนเข้ามาอยู่เป็นประจำทุกปี แต่โรคร้ายที่ใคร ๆ ต่างไม่ต้องการเสี่ยงให้เข้ามาอยู่ในร่างกายของเรานั้น มีอยู่ไม่กี่โรค ยกตัวอย่างเช่น โรคมะเร็งโรคร้ายที่มักจะแฝงตัวอยู่ในร่างกายของเราอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ กัดกินร่างกายของเราจนอ่อนแอ ที่สำคัญโรคมะเร็งมีต้นตอปัญหามาจากหลาย ๆ อย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การดื่มเหล้ามากจนเกินไป การสูบบุหรี่ การทานอาหารที่ประเภทย่างและอีกหลาย ๆ สาเหตุปัญหา
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อกระแสการรักษาสุขภาพเข้ามามีบทบาทชีวิตของเรามากขึ้น ทำให้ใครหลาย ๆ คนมักจะไม่กังวลเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เพราะเมื่อกระแสการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพเข้ามามีบทบาท อาหารเพื่อสุขภาพชนิด ๆ ต่างจึงมีให้เห็นอย่างมากมาย แต่การป้องกันมะเร็งอย่างแท้จริงนั้นมีวิธีเดียวที่จะทำให้เราห่างและป้องกันได้อย่างเด็ดขาดนั่นก็คือ “การเลือกที่จะกิน”
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็ง โดยข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่จัดขึ้นโดย มะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ในรายงานได้ระบุเอาไว้ว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งกว่า 56,058 ราย หรือประมาณ 8,834 รายต่อประชากร 1 แสนคน ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 10.7% ขณะเดียวกันได้ระบุอีกด้วยว่า คนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็ง 241,051 ราย หรือคิดเป็น 80,350 รายต่อปี โดยแบ่งเป็นผู้หญิงประมาณ 120 รายและเป็นชายประมาณ 140 รายต่อประชากร 1 แสนคน และคาดว่าโรคร้ายดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี ทั้งนี้ในรายงานยังสรุปไว้ว่าโรคมะเร็งเป็นโรคร้ายคร่าประชากรชาวไทยเป็นอันดับ 1 ของสถิติการเสียชีวิตทังหมด
แพทย์หญิงสุดสวาท เลาหวินิจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุกรรม และนายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทยได้บอกสาเหตุของโรคมะเร็งเอาไว้ว่า โรคมะเร็งอาจจะมีสาเหตุมาจากสารอนุมูลอิสระที่เกิดจากปฏิกิริยาการเผาผลาญของอาหาร และถ้ามีสารอนุมูลอิสระนี้มากจนเกินไปก็อาจจะส่งผลให้เซลปกติกลายพันธุ์เป็นเซลมะเร็งได้ ขณะเดียวกันสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า Antioxidant มักจะพบมากในผักและผลไม้บางชนิด อาทิเช่น ชาเขียว ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เป็นต้น
ขณะที่การรับประทานอาหารนั้นทางแพทย์หญิงท่านนี้ได้แนะนำว่า อาหารที่ใช้เป็นการต่อต้านโรคมะเร็งนั้นควรเป็นอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน และไม่ควรเลือกที่จะบริโภคหรือไม่บริโภคอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง อีกทั้งต้องเป็นอาหารที่มีความสะอาดและมีประโยชน์ต่อร่างกาย
ขณะเดียวกันแพทย์หญิงสุดสวาท เลาหวินิจได้แสดงถึงความเป็นห่วงถึงโรคมะเร็งว่า ประเทศไทยยังคงมีความกังวลในด้านการรักษาโรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ความรู้ และความเข้าใจของผู้ป่วยในด้านการดูแลตนเอง เนื่องจากผู้ป่วยบางรายเลือกที่จะไม่ทานเนื้อสัตว์เพื่อหลีกเลี่ยงโปรตีน กับอาหารที่มีสารป้องกัน แต่หันไปเลือกทานยาลูกกลอนหรือยาสมุนไพรที่อาจส่งผลเสียต่อตัวผู้ป่วยเอง
โดยระบุว่าสาเหตุของโรคร้ายนี้นั้นมักเกิดจากอาหารที่มีสารไฮโดรคาร์บอนที่มักจะมาในรูปแบบของการเผาไหม้ ปิ้งย่างจนเกรียม หรืออาหารที่สารที่เป็นสวนผสมของไนไตรทจากการรักษาสภาพอาหารไม่ถูกต้อง เช่น อาหารหมักดองหรืออาหารที่มีความชื้นและเชื้อราปนเปื้อน ซึ่งอาหารทั้งสองชนิดล้วนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ประชาชนไทยมีโอกาสที่จะเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งมากขึ้น
ในด้านการรักษาโรคมะเร็งนั้นทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมรายนี้ ได้อธิบายไว้ว่า การรักษานั้นต้องผ่านทั้งการผ่าตัด การฉายรังสี การรับยาเคมีบำบัด และกระบวนทั้งหมดล้วนต้องทำให้ผู้ป่วยต้องได้สารอาหารเพิ่มมากกว่าปกติ เพื่อซ่อมแซมเซลที่เสียหาย และจะส่งผลให้ร่งกายสามารถรับการรักษาได้ครบถ้วนตามแผนที่ทางแพทย์ได้วางเอาไว้ได้ ขณะเดียวกันแพทยหญิงรายนี้ได้ระบุอีกว่า การรักษานั้นอาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เบื่ออาหาร แผลอักเสบเยื่อบุช่องปากหรือหลอดอาหาร จึงส่งผลให้ผู้ป่วยเป็นโรคร้ายนี้มีแนวโน้มที่จะขาดสารอาหาร และมีน้ำหนักตัวที่ลดลง
แพทย์หญิงรายนี้ได้เน้นย้ำในเรื่องอาหารว่าเนื่องจากร่างกายต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์และผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งนั้นจะอยู่ในสภาวะที่เม็ดเลือดขาวและภูมิคุ้มกันต่ำ ดังนั้นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งในระหว่างการรักษาอาการนั้น ต้องเน้นอาหารที่มีประโยชน์และต้องเป็นอาหารสุกและสะอาด อีกทั้งต้องหลีกเลี่ยงและเลิกทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ หรือไม่สุกเลย เช่น หอยนางรม ปลาดิบ หรือกุ้งเต้นเป็นต้น และยังเน้นย้ำโดยละเอียดว่าไม่เคยมีหลักฐานใด ๆ ที่จะอ้างอิงได้ว่าการเลือกรับประทานอาหารนั้นจะทำให้โรคมะเร็งโตช้าหรือฝ่อลง เพราะเนื้อสัตว์หนึ่งคำที่ได้ทานเข้าไปนั้น ย่อมกระจายไปสู่เซลต่าง ๆ ของร่างกายและไม่เลือกที่จะวิ่งตรงไปสู่จุดที่เป็นบ่อเกิดของมะเร็งเพียงอย่างเดียว
ดังนั้นหากร่างกายของเราไม่แข็งแรงอาจจะเกิดสภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ของโรคมะเร็งตามมาอีกด้วยดังนั้นแพทย์หญิงสุดสวาท เลาหวินิจจึงได้ย้ำชัดว่าอาหารที่สำคัญต่อผู้ป่วยโรคนี้นั้นควรเป็นอาหารที่สร้างความสมดุลต่อร่างกายและมีสารอาหารครบถ้วน รวมทั้งต้องสุกและสะอาด และไม่ใช่อาหารที่เลือกรับประทานอาหารเพียงชนิดใดชนิดหนึ่ง
ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก http://www.thaihealth.or.th