ช่วงปลายฝนต้นหนาวระหว่างเดือนสิงหาคม – ตุลาคม เป็นช่วงที่เด็ก ๆ มักจะป่วยบ่อย เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงและมักจะรับเชื้อโรคได้ง่าย โดยเฉพาะไวรัส RSV ที่มีอาการคล้ายไข้หวัดแต่ส่งผลรุนแรง ถึงขั้นปอดอักเสบติดเชื้อได้
Q: ไวรัส RSV คืออะไร
A: RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เด็กเป็นโรคหลอดลมฝอยอักเสบ และโรคปอดบวม
ติดต่อกันได้ง่ายๆ เพียงโดนละอองน้ำมูกของผู้ป่วยที่ไอ จามออกมาก รวมทั้งสัมผัสเชื้อนี้ ผ่านสิ่งของที่ใช้ร่วมกัน เช่น ของเล่น โต๊ะอาหาร
Q: เป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่รึป่าวคะ
A: จริงๆเป็นไวรัสที่รู้จักกันมานานแล้วทางการแพทย์ แต่ปัจจุบันเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากสามารถตรวจหาเชื้อได้โดยตรง
Q: สังเกตอย่างไร…ว่าติดเชื้อไวรัส RSV
A: เริ่มต้นจะมีน้ำมูกใสๆ ไอ จาม มีไข้ต่ำๆ คล้ายไข้หวัดธรรมดา แต่ต่อมาอาการรุนแรงมากขึ้น คือ มีอาการหายใจเร็ว หอบเหนื่อย หน้าอกหรือซี่โครงบุ๋ม ซึมลง กินไม่ได้ กระสับกระส่าย ซึ่งเป็นสัญญาณของโรคปอดบวม และควรพาลูกพบแพทย์ทันที เมื่อมีอาการเหล่านี้
Q: สามารถตรวจหาเชื้อนี้ได้อย่างไร
A: ปัจจุบันสามารถวินิจฉัยโรค RSV ได้โดยการเก็บเชื้อจากบริเวณจมูกและคอส่งตรวจห้องแล็บเพื่อหาเชื้อไวรัส
Q: รักษาอย่างไร
A: ถึงแม้ปัจจุบันไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัส RSV โดยตรง แต่สามารถรักษาได้ โดยการให้ผู้ป่วยพักผ่อนอย่างเพียงพอ ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ถ้าเด็กกินได้น้อย รวมทั้งให้การรักษาด้วยออกซิเจนและยาสูดพ่นไอละอองฝอย ในกรณีที่หอบมาก เพื่อบรรเทาอาการไอ และอาการหอบเหนื่อย เด็กเล็กอาจมีอาการรุนแรง ควรได้รับการรักษาในโรงพยาบาล โดยทั่วไปอาการจะค่อยๆดีขึ้นภายใน 7-14 วัน
Q: มีวิธีป้องกันโรคนี้ได้อย่างไร
A: ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้ แต่ผู้ปกครองสามารถดูแลป้องกันไม่ให้ลูกหลานรับเชื้อนี้ได้โดยหลีกเลี่ยง การไปแหล่งชุมชนที่มีคนพลุกพล่าน ล้างมือให้บ่อยครั้งเท่าที่จะทำได้ หลังจากทำกิจกรรม หรือก่อนกินอาหาร ทำความสะอาดของเล่น พกแอลกอฮอล์ล้างมือด้วยยิ่งดี เพราะเชื้อโรคมีอยู่ทั่วไป และเด็กๆ จะรับมาได้ง่ายมาก
หวังว่าจะมีประโยชน์สำหรับคุณพ่อคุณแม่นะคะ จะได้รู้ทันไวรัส RSV และวิธีป้องกันลูกน้อยให้ห่างไกลจากเชื้อร้ายนี้
ขอบคุณบทความจาก : https://www.samitivejhospitals.com/th/%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA-rsv/