นัดพบแพทย์

ข้อเข่าเสื่อม

01 Sep 2016 เปิดอ่าน 2827

  ข้อเข่าเสื่อมเป็นความเสื่อมที่เกิดขึ้นที่ข้อเข่า โดยจะมีความผิดปกติต่างๆ ได้แก่ กระดูกอ่อนที่เป็นผิวของข้อเข่าสึกหรอ ทำให้การเคลื่อนไหวของข้อติดขัด การกระจายการรับน้ำหนักผิดปกติ จนมีอาการปวดเสียว กล้ามเนื้อรอบเข่าแข็งแรงน้อยลง เอ็นยึดข้อหย่อนยาน ความหนาแน่นกระดูกบริเวณข้อเข่าและรอบๆ ข้อบางลง เป็นต้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมีขาโก่ง หรือเก ตลอดจนเดินได้น้อยลง

อุบัติการณ์
     
ในประเทศไทยยังไม่มีการเก็บข้อมูลอุบัติการณ์ผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมอย่างชัดเจน ส่วนผลการศึกษาของประชากรในทวีปเอเชียนั้น พบว่า ผู้ป่วยข้อเสื่อมที่มีลักษณะเข่าบิดโก่งจะมีถึงร้อยละ 90 – 95 ในขณะที่เข่าบิดเกพบแค่ร้อยละ 5 – 10 ในแถบซีกโลกตะวันตกก็เช่นเดียวกัน กล่าวคือมีสัดส่วนผู้ป่วยข้อเสื่อมที่มีลักษณะเข่าบิดโก่งมากกว่าลักษณะเข่าบิดเก (ร้อยละ 70 – 75 เปรียบเทียบกับร้อยละ 20 – 25) ข้อมูลจากการสังเกตยังพบว่าผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมแบบบิดเกจะมีช่วงอายุที่หลากหลาย คือตั้งแต่ 50 – 70 ปีเป็นต้นไป ในขณะที่กลุ่มข้อเข่าเสื่อมแบบโก่งจะเริ่มเป็นเมื่ออายุ 50 ปีเศษๆ และอาการจะรุนแรงมากขึ้นเมื่ออายุ 60 ปีปลายๆ

ปัจจัยเสี่ยง
     1. อายุ จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่าการเป็นข้อเข่าเสื่อมแบบโก่งจะสัมพันธ์กับอายุที่มากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเป็นไปตามครรลองของธรรมชาติ

     
2. วัฒนธรรมการดำเนินชีวิต ประเทศในแถบเอเชียมีอัตราข้อเข่าเสื่อมแบบบิดเกมากกว่าประเทศแถบตะวันตก สันนิษฐานว่ามาจากท่านั่งตามวัฒนธรรมแบบเอเชีย (เช่น การนั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ) มีการพับเข่ามากกว่าแบบตะวันตก งานวิจัยในประเทศจีนยังพบว่าการนั่งพับเข่าเป็นเวลานาน เมื่ออายุมากขึ้น ข้อเข่าซีกในจะเสื่อมก่อน

     
3. น้ำหนักตัวที่มากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น จะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นข้อเข่าเสื่อม

อาการและการวินิจฉัย
     อาการข้อเข่าเสื่อมในระยะเริ่มแรกมักยังไม่ชัดเจน ผู้ป่วยอาจจะรู้สึกเพียงฝืดๆ ขัดๆ บริเวณข้อเป็นครั้งคราวมักเกิดตามหลังจากที่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน ต่อมาอาการขัดข้อมักเป็นบ่อยขึ้น และอาการปวดจะค่อยๆ
เด่นชัดขึ้น บางรายอาจมีการอักเสบเฉียบพลัน ทำให้ข้อบวมและอุ่น โดยอาจเกิดเป็นครั้งคราวหรือเป็นอย่าง
ต่อเนื่อง สำหรับอาการสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ ได้แก่ อาการปวดที่เริ่มเป็นบ่อยขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อขยับตัวภายหลังจากอยู่นิ่งๆ เป็นเวลานาน หรือการเคลื่อนไหวของข้อไม่เหมือนเดิม เช่น ข้อเข่าที่เคยเหยียดได้สุดก็เหยียดไม่ได้สุด รูปร่างของขาเปลี่ยนไป และอาการปวดเอว ปวดสะโพก อันมีสาเหตุมาจากการที่ผู้ป่วยเดินโยกตัวเพราะเข่าบิดโก่ง ทำให้เส้นประสาทบริเวณกระดูกสันหลังระคายเคือง หรือกระดูกสันหลังเสื่อมเพิ่มขึ้น ซึ่งอาการที่เกิดบริเวณหลังและร้าวลงขานี้มักพบเมื่อการดำเนินการของโรคเป็น
มานานพอควร

      ในการวินิจฉัย แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติ ซึ่งผู้ป่วยที่มีโรคข้อเสื่อมโดยธรรมชาติส่วนใหญ่มักจะมีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป มีลักษณะอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป จากอาการฝืดขัดจนกระทั่งมีอาการปวด และมักมาพบแพทย์เมื่อมีการปวดข้อเกิดขึ้นแล้ว การตรวจร่างกายมักพบว่าผู้ป่วยมีอาการปวดเมื่อขยับข้อ มีเสียงเคลื่อนไหวในข้อลักษณะเสียดสี เหมือนกระดาษทรายถูกัน (crepitation) เนื่องจากผิวข้อไม่เรียบ การเคลื่อนไหวของข้อผิดปกติ เช่น ข้อโยกเยก หรือเคลื่อนไหวได้ไม่เต็มวง เมื่อตรวจเพิ่มเติมจากภาพถ่ายรังสี โดยเฉพาะท่าที่ให้ผู้ป่วยยืนลงน้ำหนักบนขาข้างเดียว มักพบว่าช่องว่างในข้อเข่าระหว่างเข่าซีกในและข้อเข่าซีกนอกกว้างไม่เท่ากัน แสดงว่ากระดูกอ่อนในช่องว่างที่แคบกว่าหายไป นอกจากนี้มักพบกระดูกงอก
ผิดปกติรอบๆ ข้อ หรือมีเงาที่ขาวผิดปกติบริเวณที่รับ
น้ำหนักมาก

การรักษา
      โรคข้อเข่าเสื่อมระดับปานกลางหรือระดับรุนแรงมักส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ป่วย จึงมีความจำเป็นต้องรักษา โดยเป้าหมายสำคัญในการรักษา คือ บรรเทาอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นให้เป็นที่พอใจ และทำให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้ดีตามปกติและเหมาะสมกับวัยของผู้ป่วย การรักษาแบบประคับประคองประกอบด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้
.
การปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต ได้แก่
      - การลดน้ำหนักตัว ดังที่กล่าวมาแล้วว่าน้ำหนักตัวเป็นปัจจัยกระตุ้นให้อาการข้อเข่าเสื่อมเป็นมากขึ้น คำแนะนำทั่วไป คือ ควรดูแลให้ค่าดัชนีมวลกายอยู่ในช่วงค่าที่ปกติ คือ ไม่เกิน 25 กก./ตร.ม.2 หากมีดัชนีมวลกายสูงโดยเฉพาะเมื่อสูงเกินค่า 30 กก./ตร.ม.2
แพทย์ถือว่าเป็นโรคอ้วน แนะนำให้ผู้ป่วยทำการลดน้ำหนักลง โดยเป้าหมายคือให้ลดลงประมาณร้อยละ 5
ต่อการลดน้ำหนัก 1 ครั้ง ซึ่งปฏิบัติวิธีง่าย ๆ คือ ตั้งเป้าให้น้ำหนักตัวค่อยๆ ลดลงในแต่ละสัปดาห์จนครบร้อยละ 5 ภายใน 2-3 เดือน

      - ปรับเปลี่ยนท่าทางในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงท่าที่ต้องพับข้อเข่า เช่น ท่านั่งยองๆ พับเพียบ
ขัดสมาธิ และนั่งคุกเข่า
      - บริหารกล้ามเนื้อเหยียดข้อเข่าให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยหลักการบริหารแบบไอโซเมตริก (isometric exercise) ซึ่งก็คือการเกร็งกล้ามเนื้อเหยียดข้อเข่าโดยที่ไม่มีการเคลื่อนไหวข้อเข่าให้เป็นเวลาที่เหมาะสม เช่น เกร็งค้างไว้นานตั้งแต่ 10 – 60 วินาที แล้วค่อยคลายออก ทำซ้ำบ่อยๆ วันละ 100-200 เที่ยว การออกกำลังกายแบบแอโรบิคช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป แต่ต้องระมัดระวังท่าที่มีการย่อข้อเข่าที่มาก หรือบิดข้อเข่ามาก เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บของ
ข้อเข่าได้

      การทำกายภาพ เช่น การนวดคลึงบริเวณที่ปวด การประคบด้วยความร้อน จะช่วยลดอาการปวดลงได้ โดยไม่มีอันตรายกับข้อเข่า สามารถทำบ่อยครั้งหรือหยุดทำตามการเปลี่ยนแปลงของอาการ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ยังไม่ต้องการใช้ยา

      การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการปวด ยาที่ใช้ ได้แก่ ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) และ/หรือ ยาแก้ปวด (analgesics) ยาเหล่านี้จะลดอาการปวดที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้ป้องกันการอักเสบหรือปวดในอนาคต ไม่ควรรับประทาน NSAIDs ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เนื่องจากอาจทำให้การทำงานของตับและไตผิดปกติ รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลและมีเลือดออกในทางเดินอาหาร ผู้ป่วยจึงควร
รับประทานยาในกลุ่มนี้เฉพาะช่วงที่มีอาการผิดไปจากปกติ เช่น ขณะเวลาที่ไปเที่ยว ผู้ป่วยมักจะมีอาการแย่ลงกว่าปกติ ก็รับประทานยาเฉพาะช่วงที่ไปเที่ยว ช่วงที่กลับบ้านก็หยุดรับประทานยา เป็นต้น

การดูแลตนเองหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อ
      ขณะที่ผู้ป่วยพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลควรทำใจให้สบาย ไม่เครียด และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยภาพรวม ภายหลังจากการผ่าตัด แพทย์จะแนะนำในเรื่องต่างๆ ในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เนื่องจากเทคโนโลยีการผ่าตัดในปัจจุบัน
ทันสมัยขึ้น ผู้ป่วยจึงฟื้นตัวเร็วกว่าแต่ก่อน จากเดิมที่ต้องนอนบนเตียงเกือบสัปดาห์จึงคอยลุกขึ้นเดิน ก็กลายเป็นเริ่มมีการเดินตั้งแต่วันรุ่งขึ้นหลังจากรับการผ่าตัด นอกจากนี้แล้วแพทย์ยังแนะนำการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยมีภาวะขาบวมและ
ภาวะหลอดเลือดดำไหลเวียนผิดปกติ มีทั้งให้ผู้ป่วยออกกำลังกาย ขยับเท้า ขยับขา จนกระทั่งผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ ซึ่งประเมินจากการที่ผู้ป่วยมีร่างกายแข็งแรงขึ้น ไม่มีไข้ รับประทานอาหารได้ แผลผ่าตัดเป็นปกติ ลุกจากเตียงและเดินได้เองโดยการใช้วอล์คเกอร์ได้ดี และงอข้อเข่าได้อย่างน้อย 90 องศา หลังจากนี้แพทย์จะนัดผู้ป่วยมาตรวจเป็นระยะๆ ได้แก่ 2 สัปดาห์ 6 สัปดาห์ 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี และทุกๆ 6 เดือน หรือทุกๆ 1 ปี โดยในระหว่างนี้ ผู้ป่วยอาจจะต้องรับการถ่ายภาพเอกซเรย์ข้อเข่าข้างที่รับการผ่าตัดเป็นระยะๆ

     สุดท้ายนี้ขอฝากถึงผู้อ่านทุกท่านว่า กลุ่มโรคข้อเสื่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เราไม่สามารถห้ามไม่ให้โรคเหล่านี้เกิดขึ้นได้ แต่เรา
สามารถที่จะควบคุมโรค และอยู่กับมันอย่างมีความสุขได้ ซึ่งวิธีที่จะอยู่กับข้อเสื่อมอย่างมีความสุขคือเมื่อใดที่พบว่าเรามีปัญหาข้อเสื่อม เราต้อง
ทราบว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้ตัวโรคอยู่ในระยะต้น ไม่เกินระยะกลาง เพราะถ้าเมื่อใดโรคอยู่ในระยะต้นไม่เกินระยะกลาง ผู้คนส่วนใหญ่จะดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขตราบจนชั่วชีวิตของเขา ถ้ามีการปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมหรือดำเนินชีวิตต่างๆ อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ครรลองของโรคก็จะดำเนินไปถึงระยะท้าย ซึ่งจะหลีกเลี่ยงการผ่าตัดไม่ได้ ถึงแม้ผลของการผ่าตัดออกมาดีและผู้ป่วยพอใจ แต่มันก็คือการใส่วัสดุเทียมเข้าไปทดแทนข้อธรรมชาติ ถ้าใส่ของเทียมแล้วผู้ป่วยยังไม่ปรับปรุงการดำเนินชีวิตประจำวันให้อยู่ในทางสายกลาง
ของเทียมเหล่านี้ก็จะหมดอายุอีกรอบหนึ่ง กลับมามีปัญหาอีกรอบหนึ่ง

รศ.นพ. อารี ตนาวลี ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์

* ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.healthtoday.net/thailand/feature/feautre_157.html