นัดพบแพทย์

ตาเพลีย???

10 Dec 2016 เปิดอ่าน 1371

ในวันหนึ่งๆ  เมื่อดวงตาคู่สวยของคุณถูกใช้งานมาตลอดทั้งวันจึงมักเกิดอาการไม่สบายตา  ปวดเบ้าตา  หรือปวดบริเวณรอบดวงตาตลอดจนอาการสายตาพล่า  ซึ่งเราเรียก  อาการเหล่านี้ว่า  "  ตาเพลีย  "

สาเหตุของอาการตาเพลีย

1.  สภาวะแวดล้อม ได้แก่ แสงสว่างไม่เพียงพอต้องพยามยามปรับความเข้มของแสงให้พอเหมาะ ไม่สว่างจ้าจนระคายเคือง หรือสลัวจนต้องเพ่งตลอดจนทิศทางของแสง ควรจัดโต๊ะทำงาน หรือปรับตำแหน่งของดวงไฟให้ถูกต้อง

2.   สายตาผิดปกติ ได้แก่ สายตายาว สายตาสั้น หรือเอียง ภาวะตาเหล่ซ่อนเร้นไม่ได้สวมแว่นตา ทำให้กล้ามเนื้อทั้งในและนอกลูกตา  ทำงานมากเกิน จนทำให้เกิดอาการเมื่อยล้า  และเพลียตาได้

3.   มองใกล้เป็นเวลานานๆ เช่น เด็กนักเรียน นักเขียน นักบัญชี ช่างเย็บผ้าโดยเฉพาะขณะงานเร่งรีบไม่มีเวลาหยุดพัก

4.   มีประวัติการทำงานที่ใช้สายตานาน ครั้งละหลายๆชั่วโมงโดยไม่ได้พักสายตาเลย

5.   กล้ามเนื้อตาทำงานไม่ดี  หรือเกิดจากการผิดปกติของกล้ามเนื้อตา

6.   สาเหตุทางร่างกายและจิตใจ  พักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ สภาพจิตใจไม่แจ่มใส  เคร่งเครียด  หงุดหงิด  ฯลฯ

อาการ

-   ตาพร่ามัว ตาลายเป็นพักๆ เมื่อยตา ปวดตา เคือง แสบ ตาแดง น้ำตาไหล ขณะมองใกล้  หรืออ่านหนังสือไม่ทน

-   มักจะเกิดอาการเวลาบ่าย หรือค่ำๆ หลังจากใช้สายตาเป็นเวลานานๆตั้งแต่เช้าจรดบ่าย  จนกล้ามเนื้อตาเกร็ง

-   มีอาการมึนศีรษะ  และเห็นภาพซ้อนร่วมกันด้วยเป็นครั้งคราว

การแก้ไข

-   อย่าใช้สายตาอย่างต่อเนื่องนานเกินไป เมื่อดูคอมพิวเตอร์หรืออ่านหนังสือ ได้ประมาณ 1 ชั่วโมง  ควรหยุดพักให้กล้ามเนื้อตา ได้คลายตัวบ้าง  โดยการหลับตา หรือมองไปไกลๆสัก5-10 นาที แล้วจึงเริ่มทำงานต่อไป

-   ควรให้โต๊ะทำงาน และอ่านหนังสือรับความเข้มทิศทางของแสงให้ถูกต้อง ตลอดจนสิ่งที่ดู ( คอมพิวเตอร์ ) ควรอยู่ห่างจากตา ประมาณ 35-50 ซม.

-   วิธีง่ายๆในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา ก็คือ ใช้ฝ่ามือของคุณวางลงบนตาทั้งคู่ พร้อมกับหายใจเข้า-ออกช้าๆ  สัก2-3 นาที  จะช่วยให้รู้สึกสบายตาขึ้น

-   หากปฏิบัติตามคำแนะนำแล้วตายังเพลียอยู่ ควรไปพบจักษุแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไป

 

ขอขอบคุณข้อมูล  จาก นพ.เกษม  จันทรพัฒนา

จักษุแพทย์  โรงพยาบาล ศิครินทร์  หาดใหญ่

 

* ขอบคุณข้อมูลจาก : http://oknation.nationtv.tv/blog/arada/2008/01/01/entry-2