คุณแม่ยุคใหม่ในปัจจุบันนี้ นิยมคลอดด้วยการผ่าตัดมากขึ้น โดยสถิติผ่าคลอดอในประเทศไทยอยู่ที่ร้อยละ 65 โดยสาเหตุที่คนส่วนใหญ่เลือกการผ่าคลอดลูกมากกว่าคลอดธรรมชาติ ก็อาจเกิดจาก การกลัวเจ็บ อยากกำหนดวันคลอด เป็นต้น
พบว่าทารกที่คลอดด้วยการผ่าตัดนั้น โดยเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 30-40 มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้สูงกว่าทารกที่คลอดด้วยวิธีธรรมชาติ ถึงแม้ว่าสาเหตุที่ทำให้เด็กน้อยเกิดภาวะภูมิแพ้นั้นอาจเกิดมาจากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม มลพิษที่มีอยู่ทั่วไป อายุที่เปลี่ยนแปลง แต่องค์การอนามัยโลกได้วิจัยมาแล้วว่าภาวะภูมิแพ้ของเด็กนั้นอาจมีสาเหตุที่เกิดจากการคลอดโดยวิธีผ่าตัดทางหน้าท้อง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เด็กจำนวนมากป่วยเป็นโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
การคลอดด้วยวิธีธรรมชาตินั้น ทารกจะได้รับจุลชีพโพรไบโอติกที่เป็นประโยชน์ ซึ่งอยู่ในช่องคลอดและในลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง ใกล้ๆ ทวารหนักของคุณแม่ รวมถึงที่ปนอยู่กับมูกเลือดในช่องคลอด ผ่านเข้าทางปากและจมูกของทารก โดยจุลชีพนี้จะไปกระตุ้นให้ร่างกายเริ่มพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สมบูรณ์ ต่างจากวิธีการผ่าตัดคลอด ที่ทารกจะคลอดออกมาทางแผลผ่าตัดหน้าท้อง ทำให้ทารกไม่ได้รับจุลชีพโพรไบโอติกในช่องคลอดและลำไส้ใหญ่ส่วนล่างนอกจากนี้ ในการผ่าตัดคลอด คุณแม่ส่วนใหญ่มักจะได้รับยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อขณะผ่าตัด ทำให้เชื้อจุลชีพทั้งเชื้อก่อโรคและโพรไบโอติกถูกฆ่าทำลายไปด้วยกัน ก็ยิ่งทำให้ทารกหมดโอกาสที่จะได้รับจุลชีพโพรไบโอติก และอาจได้รับเชื้อจุลชีพก่อโรคภายในโรงพยาบาล
โดยทั่วไปสูติแพทย์จะแนะนำให้คุณแม่ทุกคนคลอดด้วยวิธีธรรมชาติตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ก่อน เพราะเสียเลือดน้อย ฟื้นตัวไว เจ็บแผลน้อยกว่า และมดลูกกลับสู่ภาวะปกติได้เร็วกว่าการผ่าคลอด และช่วยลดภาวะภูมิแพ้ให้กับเด็กน้อยได้ด้วย
โดย ผศ.นพ.มานพชัย ธรรมคันโธ
* ขอบคุณข้อมูลจาก : เว็บไซต์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์