| โดย นพ.รณศักดิ์ มงคลรังสฤษฎ์
ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ อนุสาขาข้อเข่าและข้อสะโพก
PRP (Platelet-Rich Plasma) คืออะไร?
PRP หรือเกล็ดเลือดเข้มข้น คือการนำเลือดของผู้ป่วยมาผ่านกระบวนการปั่นแยก เพื่อให้ได้พลาสมาที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้น ซึ่งอุดมไปด้วย Growth Factors ที่ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและลดการอักเสบ...
PRP ช่วยรักษาข้อเข่าเสื่อมได้อย่างไร?
การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นเข้าไปในข้อเข่า จะช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมกระดูกอ่อน ลดการอักเสบ ชะลอการเสื่อมของข้อ และบรรเทาอาการปวด ช่วยให้ผู้ป่วยเดินได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
ใครเหมาะกับการฉีดเกล็ดเลือดข้อเข่า (PRP)?
- ผู้ที่มีข้อเข่าเสื่อมระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง
- ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด
- ผู้ที่มีโครงสร้างข้อเข่าเหลือดี
- ผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง
ข้อจำกัดของการฉีด PRP
- ไม่ได้ผลในข้อเข่าเสื่อมระยะสุดท้าย
- ผลลัพธ์แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
- อาจต้องทำซ้ำหลายครั้ง
ขั้นตอนการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นในข้อเข่า
- เจาะเลือดจากผู้ป่วย
- ปั่นแยกเกล็ดเลือดเข้มข้น
- ฉีด PRP เข้าข้อเข่าโดยแพทย์เฉพาะทาง
- พักข้อเข่า 24-48 ชั่วโมง
ผลลัพธ์หลังการฉีด PRP ข้อเข่า
- อาการปวดลดลงใน 2–4 สัปดาห์
- การเคลื่อนไหวของข้อดีขึ้น
- เห็นผลเต็มที่ใน 2–3 เดือน
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้
- ปวดหรือบวมบริเวณที่ฉีด
- อักเสบเล็กน้อย
- การติดเชื้อ (พบน้อยมาก)
- ไม่มีปฏิกิริยาแพ้เนื่องจากใช้เลือดตนเอง
การเตรียมตัวก่อนฉีด PRP
- หลีกเลี่ยงยาแก้อักเสบ 1 สัปดาห์ก่อนฉีด
- ดื่มน้ำมาก ๆ
- งดออกกำลังกายหนักก่อนทำ
การดูแลหลังการฉีด PRP
- พักข้อเข่า 24-48 ชั่วโมง
- ประคบเย็นถ้าบวม
- งดยาแก้อักเสบหลังฉีดอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- ทำกายภาพเบาๆ ตามคำแนะนำ
เปรียบเทียบ PRP กับการรักษาแบบอื่น
- PRP: ฟื้นฟูด้วยตนเอง ผลระยะยาว
- สเตียรอยด์: ลดปวดเร็ว แต่ผลระยะสั้น
- ผ่าตัดข้อเข่าเทียม: แก้ปัญหาถาวร แต่พักฟื้นนาน
สรุป
การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP) เป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาข้อเข่าเสื่อมที่ปลอดภัย ช่วยลดอาการปวดและชะลอการเสื่อมได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ป่วยในระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง โดยควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทางเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด